การทำ Allergostop เทคนิคการบำบัดโดย “การทำวัคซีนภูมิแพ้เฉพาะบุคคล” อีกหนึ่งเคล็ดลับของการแก้ปัญหา ณ ต้นตอของสาเหตุ
Allergostop รักษาแบบพุ่งเป้าอย่างตรงจุด
สำหรับผู้ที่เป็นภูมิแพ้ในร่างกายจะมีปัจจัยกระตุ้นภูมิแพ้ หรือสารก่อภูมิแพ้ ซึ่งจะมีปฏิกิริยาต่อแอนติเจนและไปจับขั้วกับเม็ดเลือดขาว ทำให้เม็ดเลือดขาวสร้างแอนติบอดี และก่อให้เกิดความไวต่อการตอบสนองของแอนติเจนและแอนติบอดี เมื่อร่างกายมีการตอบสนองต่อสารกระตุ้นก็จะปล่อยสารอักเสบของเม็ดเลือดขาว จึงเกิดเป็นอาการแพ้ โดยลักษณะอาการจะขึ้นอยู่กับว่าการอักเสบจะถูกกระตุ้น ณ อวัยวะใด เช่น ถูกกระตุ้นที่ผิวหนัง จะเกิดเป็นผื่นคัน ถ้าถูกกระตุ้นที่ตา จะมีอาการคัน เคือง ตา หากเป็นที่จมูก ก็จะมีอาการคัดจมูก น้ำมูกไหล เป็นต้น ในรายที่แพ้ภูมิตัวเองจะมีลักษณะใกล้เคียงกับภูมิแพ้ คือ ภูมิที่ถูกกระตุ้นเกิดการสร้างของแอนติบอดีและจับขั้วกับเซลล์ของตัวเอง จึงเกิดการกระตุ้นภูมิคุ้มกันตลอดเวลา และอักเสบตลอดเวลาเช่นเดียวกัน โดยเป็นลักษณะของโรค SLE ภูมิต้านทานไวเกิน เป็นต้น อย่างไรก็ตาม ทั้งโรคภูมิแพ้ ภูมิต้านทานไวเกิน ภาวะแพ้ภูมิคุ้มกันตัวเอง เป็นกระบวนการของการกระตุ้นภูมิต้านทานที่ผิดปกติ การแก้ไขโดยการทำวัคซีนภูมิแพ้เฉพาะบุคคล (Allergostop) จึงเป็นการเอาข้อมูลของแอนติบอดีที่เป็นตัวกระตุ้นภูมิแพ้ หรือปัจจัยกระตุ้นภูมิแพ้ทั้งหมด ที่บันทึกไว้ในเลือดมาทำเป็นวัคซีนเพื่อรักษาแบบเฉพาะบุคคล
หลักการทำงานของ Allergostop
ขั้นตอนการทำ Allergostop เริ่มจากเจาะเลือดออกและนำมาตั้งทิ้งไว้ให้เม็ดเลือดต่างๆ ตกตะกอน โดยจะใช้เฉพาะน้ำเหลืองที่อยู่ด้านบน ซึ่งมีแอนติบอดีทั้งหมด หลังจากนั้นนำมากระตุ้นด้วยเทคโนโลยีเฉพาะของ Absolute Health เพื่อเปลี่ยนแปลงโมเลกุลของแอนติบอดีหรือแอนติเจนให้เป็นขั้วที่ชัดเจน โดยขั้วที่ชัดเจนขึ้นจะทำให้สภาพของน้ำเหลืองหรือพลาสมากลายเป็นวัคซีน เมื่อฉีดกลับเข้าไปเม็ดเลือดขาวจะจับกับขั้วดังกล่าว ส่งผลให้เกิดการเรียนรู้ของเม็ดเลือดขาวขึ้นใหม่ในการทำลายสารก่อภูมิแพ้ตัวเดิม หรือทำลายแอนติบอดีไม่ดีที่ไม่ต้องการ
หลักการของ Allergostop อาจกล่าวง่ายๆ คือ เมื่อร่างกายมีพิษ จึงสกัดพิษออกมาให้พิษนั้นหมดฤทธิ์และนำไปเจือจาง เพื่อฉีดกลับให้ร่างกายสร้างภูมิใหม่ในการต้านพิษให้ได้นั่นเอง หรือที่เรียก “พิษตัดพิษ”
ข้อแนะนำการเจาะเลือด
การทำวัคซีน Allergostop หากเลือดที่นำมาใช้อยู่ภาวะที่ร่างกายมีอาการแพ้มากจะทำให้ได้ข้อมูลตัวกระตุ้นภูมิแพ้ที่ชัดเจน ดังนั้น ในวันที่มาเจาะเลือด ควรเป็นวันที่มีอาการแพ้เกิดขึ้น
Allergostop ทางเลือกสำหรับใคร
- ผู้ที่มีประวัติโรคภูมิแพ้
- ผู้ที่เป็นโรคภูมิคุ้มกันไวเกิน
- ผู้ที่มีอาการแพ้ภูมิตนเอง อย่างเช่น SLE รูมาตอยด์ โรคที่เกิดจากการอักเสบของปลอกประสาทในระบบประสาท (Multiple Sclerosis) โรคกระดูกสันหลังอักเสบยึดติด (Ankylosing Spondylitis : AS) โรคข้อกระดูกสันหลังอักเสบ : SNSA
- ผู้ที่เป็นโรคเรื้อรัง ที่ศึกษาพบว่าเกี่ยวข้องกับการตอบสนองของภูมิต้านทาน อาทิ เบาหวาน โรคสมองเสื่อมอัลไซเมอร์ โรคสมองเสื่อมพาร์กินสัน
- ผู้สูงอายุ เนื่องจากผู้สูงอายุระบบภูมิต้านทานจะเริ่มมีกระบวนการทำงานที่สับสน สามารถทำ Allergostop เพื่อปรับการเรียนรู้การตอบสนองของภูมิใหม่ได้เช่นกัน
การฉีดวัคซีนต้องทำบ่อยแค่ไหน
การฉีดวัคซีนภูมิแพ้เฉพาะบุคคล Allergostop เลือดที่เจาะออกมาแต่ละครั้งจะสามารถสกัดวัคซีนได้ 50 เข็ม โดยจะแบ่งการฉีดออกเป็น 2 เฟส ได้แก่
- เฟสที่ 1 ฉีดวัคซีนจำนวน 25 เข็ม
- เฟสที่ 2 วัคซีนจำนวน 25 เข็ม ซึ่งจะฉีดในกรณีที่ได้รับวัคซีนเฟสที่ 1 ไปแล้วประมาณ 2-3 เดือน แต่อาการภูมิแพ้หรือแพ้ภูมิตนเองยังไม่ดีขึ้น จึงจะฉีดวัคซีนในเฟสที่ 2
วิธีการฉีดวัคซีนจะฉีดไปบริเวณใต้ผิวหนัง โดยเข็มมีขนาดเล็กเท่ากับเข็มฉีดอินซูลิน ซึ่งจะฉีดวัคซีนรอบสะดือทุกวัน ถ้าไม่สะดวกมาฉีดที่ศูนย์ฯ ได้สามารถเรียนรู้วิธีฉีดและนำไปทำเองที่บ้าน ช่วงเวลาในการฉีดควรเป็นเวลาเดียวกันทุกๆ วัน เพื่อให้เกิดผลลัพธ์ของการรักษาที่ดีที่สุด เพราะหากไม่ใช่ช่วงเวลาเดียวกันในแต่ละวัน จะทำให้รอบของการกระตุ้นภูมิเกิดความสับสน
ข้อควรระวัง
การฉีดวัคซีน Allergostop เป็นการทำจากสารก่อภูมิแพ้ของร่างกาย จังหวะการให้วัคซีนในช่วงเดือนแรกอาจทำให้อาการภูมิแพ้หรืออาการอักเสบต่างๆ ปั่นป่วนมากขึ้นได้ แต่เมื่อร่างกายเริ่มปรับตัวเข้ากับสารก่อภูมิแพ้ เมื่อใดก็ตามที่เจอกับสารก่อภูมิแพ้หรือตัวกระตุ้นที่ทำให้แพ้ภูมิตนเองก็จะสามารถทนได้มากขึ้น
ข้อแนะนำ
สำหรับท่านที่อาจมีอาการภูมิแพ้จากการฉีดวัคซีนเฟสที่ 1 สามารถใช้วิตามิน อาหารเสริมตามคำแนะนำของแพทย์ เพื่อช่วยลดการอักเสบ ทั้งนี้ หากฉีดวัคซีนในเฟสที่ 1 และมีอาการของภูมิแพ้มาก แพทย์จะปรับวัคซีนสำหรับเฟสที่ 2 ให้เจือจางลง เพื่อให้ร่างกายสามารถตอบสนองได้อย่างเหมาะสม
เข้าสู่ระบบ
Create New Account