เส้นทางของ Hyperbaric Oxygen Therapy
Hyperbaric Oxygen Therapy หรือ HBOT คือ การรักษาด้วยออกซิเจนความกดบรรยากาศสูง เพื่อให้หายใจรับออกซิเจนบริสุทธิ์ปริมาณสูงภายในห้องปรับบรรยากาศความดันสูง (Hyperbaric Chamber)
HBOT เป็นแนวคิดจากการรักษาคนไข้ที่มีปัญหาการหายใจ โดยการทำออกซิเจนบำบัดมีมาหลายศตวรรษ และที่มีข้อบ่งชี้การรักษามากขึ้น คือ การรักษาด้วยออกซิเจนพร้อมแรงดัน ซึ่งเริ่มต้นจาก Decompression Syndrome กลุ่มอาการที่มีความผิดปกติของการถ่ายแก๊ส และมีภาวะฟองแก๊สอุดตันในกระแสเลือด เช่น นักดำน้ำที่ดำลงทะเลลึกและเปลี่ยนระดับขึ้นผิวน้ำเร็วไป ทำให้ออกซิเจนในเม็ดเลือดเปลี่ยนสภาวะที่ละลายในน้ำเป็นฟองแก๊ส เลือดจึงมีฟองอากาศจำนวนมากซึ่งสามารถไปอุดตันในกระแสเลือดในอวัยวะต่าง ๆ เช่น อุดปอด จะทำให้หายใจไม่ได้ ถ้าอุดสมอง ทำให้หมดสติ มึนงง อัมพฤกษ์ อัมพาต เป็นต้น จึงมีการรักษากลุ่ม Decompression Syndrome โดยให้คนไข้ไปอยู่ในตู้อัดออกซิเจนและเพิ่มแรงดัน ให้ออกซิเจนที่เป็นฟองอากาศละลายกลับไปในเลือดและเนื้อเยื้อใหม่ พร้อมปรับแรงดันไม่ให้มีการสร้างฟองอากาศของออกซิเจน
HBOT กับการรักษาที่หลากหลาย
HBOT ถูกนำไปใช้รักษาโรคต่าง ๆ อาทิ การเป็นพิษจากคาร์บอนมอนนอกไซด์ แผลไฟไหม้ และด้วยกลไกการทำงานของ HBOT เป็นกลไกที่เกี่ยวข้องกับการกดและการกระตุ้นออกซิเจนในระดับเซลล์โดยตรง และเป็นกลไกที่ทำให้มีภาวะความเครียดของเซลล์จากปฏิกิรยาออกซิเดชั่น (Oxidative stress) ในระดับอ่อน ๆ ซึ่งเป็นตัวกระตุ้นให้เซลล์ตอบสนองสร้างเอ็นไซม์สารต้านอนุมูลอิสระเพื่อปกป้องร่างกายจากอนุมูลอิสระที่เป็นพิษกับร่างกาย ประกอบกับทางการแพทย์พบว่าการใช้ออกซิเจนที่มีแรงดัน ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการไหลเวียนเลือดและการทำงานของภูมิต้านทานจึงนำไปใช้รักษาแผลผู้ป่วยเบาหวาน ส่งผลช่วยเสริมให้แผลหายได้ดีขึ้น และนำไปรักษาแผลติดเชื้อชั้นลึก เช่น มีหนองชั้นใน กระดูกติดเชื้อ ซึ่งช่วยให้ภูมิต้านทานดีขึ้นและบาดแผลหายได้ดี โดยเฉพาะการติดเชื้อที่ทำให้เนื้อเยื่อเน่า ตาย ซึ่งเป็นข้อบ่งชี้หนึ่งในการใช้ HBOT
จากการศึกษาข้อมูลพบว่า HBOT ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการรักษาคนไข้โรคทางสมอง อย่างอัลไซเมอร์ โรคหลอดเลือดสมอง โรคทางสมองจากอุบัติเหตุ และมีการศึกษาคนไข้ผ่านเครื่องเพทซีที (PET/CT) หลังทำ HBOT พบเซลล์สมองฟื้นตัวขึ้น ช่วยให้ทนต่อความเจ็บปวดมากขึ้น จึงมีประโยชน์กับคนไข้ปวดเรื้อรัง อาทิ ปวดกล้ามเนื้อเรื้อรัง ปวดไมเกรน ปวดหลัง และปวดจากมะเร็ง เป็นต้น ในด้านมะเร็ง ที่พูดถึงในระดับการศึกษาวิจัย HBOT ไม่ใช่การรักษาหลัก แต่ช่วยส่งเสริมสภาพแวดล้อมในเซลล์ให้การไหลเวียนเลือดดี มีการแลกเปลี่ยนออกซิเจนได้ดีขึ้น เซลล์จึงสร้างพลังงานได้สมบูรณ์ และยังเป็นหนึ่งในกลไกลช่วยยับยั้งการเกิดมะเร็ง สำหรับผู้ที่มีความเสี่ยงเป็นมะเร็ง ช่วยในการแก้ไขสภาพแวดล้อมภายในเซลล์ให้ดีขึ้น การทำ HBOT เมื่อทำควบคู่กับการรักษาอื่น ๆ อย่างภูมิต้านทานบำบัดโดยใช้ เซลล์เพชฌฆาต และการทำภูมิต้านทานบำบัดโดยใช้สารอาหารต่าง ๆ เป็นการเพิ่มโอกาสให้เม็ดเลือดขาวทำงานได้ดีและต่อสู้กับเซลล์มะเร็งได้ดียิ่งขึ้น
ทั้งนี้ HBOT ยังมีการใช้ร่วมในการรักษาอื่น ๆ นอกเหนือจากที่พูดถึงกันโดยทั่วไป เช่น บาดเจ็บจากกีฬา การกระตุ้นเส้นประสาทที่ควบคุมกล้ามเนื้อแสดงสีหน้า ภาวะซีดเรื้อรัง ปวดข้อ ข้ออักเสบ ปวดกล้ามเนื้อเรื้อรัง อ่อนเพลียเรื้อรัง ปอดเสื่อม เป็นต้น
Hyperbaric Chamber หรือห้องปรับบรรยากาศ สามารถแบ่งได้ ดังนี้
-
Multiple Hyperbaric Chamber ห้องที่รักษาได้ครั้งละหลายคนและมีเจ้าหน้าที่เข้าไปดูแล มักพบในสถาบันแพทย์ที่ศึกษาเวชศาสตร์ใต้น้ำ
-
Monoplace Hyperbaric Chamber มีลักษณะเป็นตู้ที่รักษาได้ครั้งละ 1 คน โดยสามารถสื่อสารกับเจ้าหน้าที่ผ่านโทรศัพท์ได้ตลอด สามารถแบ่งออกเป็น (1) ห้องปรับบรรยากาศชนิดแข็ง รับแรงดันได้สูง เพิ่มแรงดันได้ถึง 6 บรรยากาศ เทียบเท่ากับการดำน้ำลึกระดับที่มีปลาวาฬอาศัยอยู่ (2) ห้องปรับบรรยากาศชนิดอ่อน ใช้แรงดันต่ำประมาณ 1.2-1.4 เท่า ซึ่งในต่างประเทศห้องชนิดนี้นอกจากพบได้ตามคลินิกยังพบได้ในร้านสปาอีกด้วย
กระบวนการบำบัดรักษาด้วย HBOT
เมื่อคนไข้นอนใน Hyperbaric Chamber เรียบร้อย เจ้าหน้าที่จะปิดประตูและต่ออุปกรณ์ควบคุมแรงดันและเครื่องปล่อยออกซิเจนพร้อมปรับระดับ โดยขณะที่แรงกดบรรยากาศเพิ่มขึ้นคนไข้จะรู้สึกเหมือนขณะที่เครื่องบินกำลังลดระดับเพื่อลงจอด จึงอาจหูอื้อ ปวดหูได้ ผู้เข้ารับการบำบัดทุกคนจึงต้องเรียนรู้วิธีปรับแรงดันในหูก่อนเข้ารับการรักษา
ข้อควรระวังในการทำ HBOT
-
ไม่ควรทำในผู้ป่วยที่มีปัญหาระบบทางเดินหายใจ มีไข้สูง มีภาวะชักที่ควบคุมไม่ได้ มีลมรั่วในปอด โรคหอบ หืด ถุงลมโป่งพอง หัวใจวายเรื้อรัง และตั้งครรภ์
ไม่ควรทำกรณีของผู้ที่ใช้ยาบางชนิด เช่น Bleomycin Doxorubicin Cisplatin
เข้าสู่ระบบ
Create New Account