คำถามที่พบบ่อย

โทรศัพท์ : 026515988
คำถามที่พบบ่อย
1.แอ็บโซลูท เฮลธ์ สาขากรุงเทพฯ ตั้งอยู่ที่ไหน

ศูนย์การแพทย์บูรณาการแอ็บโซลูท เฮลธ์ กรุงเทพฯ ตั้งอยู่ที่ ชั้น 3 อาคาร Urbis ซอยร่วมฤดี ถนนเพลินจิต สถานีรถไฟฟ้า BTS เพลินจิต เข้ามาในซอยร่วมฤดี ระยะทางประมาณ 600 เมตร

โทร 02- 651-5988, 092-646-4464 เปิดให้บริการ ทุกวัน เวลา 9:00-18:00 น.

2.สาขาของศูนย์การแพทย์บูรณาการแอ็บโซลูท เฮลธ์ ในภูมิภาคต่าง ๆ ตั้งอยู่ที่ใดบ้าง
  • ศูนย์การแพทย์บูรณาการแอ็บโซลูท เฮลธ์ เชียงใหม่ โทร. 053 – 223 - 023, 095 – 626 – 4522 เปิดบริการ ทุกวัน ยกเว้นวันพุธ เวลา 9:00-18:00 น.
  • ศูนย์การแพทย์บูรณาการแอ็บโซลูท เฮลธ์ พัทยา โทร. 038-423-213, 081-755 -6121 เปิดบริการ ทุกวัน ยกเว้นวันพุธ เวลา 9:00-18:00 น.
  • ศูนย์การแพทย์บูรณาการแอ็บโซลูท เฮลธ์ โคราช โทร. 044-756-489, 093-651-5164 เปิดบริการทุกวัน ยกเว้น วันพุธ เวลา 9:00-18:00 น.
  • ศูนย์การแพทย์บูรณาการแอ็บโซลูท เฮลธ์ ขอนแก่น โทร. 043-338-208, 087-925-1188 เปิดบริการทุกวัน ยกเว้น วันพุธ เวลา 9:00-18:00 น.
  • ศูนย์การแพทย์บูรณาการแอ็บโซลูท เฮลธ์ อุดรธานี โทร. 042-212-600, 092-914 -9664 เปิดบริการทุกวัน ยกเว้น วันพุธ เวลา 9:00-18:00 น.
3.แอ็บโซลูท เฮลธ์ รักษาโรคอะไรบ้าง แตกต่างจากโรงพยาบาลอย่างไร

แอ็บโซลูท เฮลธ์ เป็นศูนย์สุขภาพครบวงจร ให้บริการดูแลรักษาและฟื้นฟูสุขภาพ ด้วยหลักการแพทย์บูรณาการ ผสามผสานนวัตกรรมการรักษาจากหลากหลายศาสตร์ทางการแพทย์ เน้นการรักษาที่ต้นเหตุ ป้องกันไม่ให้เกิดโรค และส่งเสริมการดูแลสุขภาพแบบองค์รวม ครอบคลุมทุกระบบของร่างกาย ปรับสมดุลฮอร์โมน สมดุลวิตามินและเกลือแร่ ฟื้นฟูและรักษาโรคเรื้อรัง เช่น เบาหวาน มะเร็ง หลอดเลือดตีบ ตัน และปัญหาจากความเสื่อมต่าง ๆ ได้แก่ สมองเสื่อม อัลไซเมอร์ พาร์กินสัน เข่าเสื่อม กระดูกสันหลังเสื่อม เป็นต้น เพื่อเสริมสร้างสุขภาพที่ดีอย่างยั่งยืน ต่างจากการรักษาที่โรงพยาบาลที่ส่วนใหญ่จะเป็นการรักษาตามอาการ เพื่อให้ผู้ป่วยหายจากอาการเจ็บป่วยจากโรคต่าง ๆ เป็นหลัก

4.หากสนใจรับการรักษากับทาง แอ็บโซลูท เฮลธ์ ต้องทำอย่างไร

หากสนใจรับการรักษา แนะนำให้เข้ามาพบเพื่อปรึกษาแพทย์ก่อนในครั้งแรก ผู้ป่วยหรือญาติสามารถนำประวัติการเจ็บป่วยเข้ามาปรึกษาก่อน เพราะแพทย์จำเป็นต้องตรวจร่างกายและมีข้อมูลของผู้ป่วยที่เพียงพอ จึงจะสามารถวางแผนการรักษาได้ โดยค่าใช้จ่ายในการเข้ารับคำปรึกษาในครั้งแรก 1,000 บาท

หลังจากที่มีการตรวจร่างกายแล้ว แพทย์จะวางแผนการรักษา โดยจะมีผู้ช่วยแพทย์เป็นที่ปรึกษาของผู้ป่วยในการสรุปแผนการรักษา และประเมินค่าใช้จ่ายทั้งหมดให้กับผู้ป่วยทราบ เพื่อการตัดสินใจก่อนเข้ารับการรักษาในขั้นตอนต่อไป

5. การตรวจ Bio Feedback Scan สามารถตรวจอะไรบ้าง

Bio Feedback Scan เป็นการตรวจวิเคราะห์สภาพร่างกายทุกระบบด้วยคลื่นพลังงาน เพื่อประเมินระบบการทำงานต่าง ๆ ของร่างกาย และสภาวะความเสื่อมถอยของแต่ละอวัยวะ รวมถึงความสมบูรณ์ของฮอร์โมน วิตามิน สารอาหาร ภาวะการอักเสบในร่างกาย รวมถึงระดับสารพิษตกค้างในร่างกาย ทำให้เราทราบได้ว่าระบบใดบ้างในร่างกายที่มีความอ่อนแอหรือผิดปกติ และทราบถึงความเสี่ยงหรือแนวโน้มการเกิดโรคในอนาคต

ซึ่งผลการตรวจ Bio Feedback Scan จะนำมาสู่การดูแลสุขภาพของตัวเอง โดยเน้นการปรับพฤติกรรมที่ส่งผลต่อความเสี่ยงในการเกิดโรคต่าง ๆ รวมถึงเสริมการรักษาในเชิงป้องกันโรคได้

เหมาะสำหรับผู้ที่มีอาการผิดปกติเกิดขึ้นแล้วในร่างกาย แต่ยังไม่สามารถหาสาเหตุได้ เพื่อให้เราสามารถค้นพบต้นเหตุของการเจ็บป่วยและรักษาได้อย่างตรงจุด รวมถึงผู้ที่ยังไม่มีอาการเจ็บป่วยใด ๆ ก็สามารถใช้เป็นแนวทางในการดูแลสุขภาพเพื่อป้องกันความเสี่ยงต่อการเจ็บป่วยในอนาคตได้

ด้วยวิธีการตรวจที่สะดวก สบาย สามารถตรวจได้โดยไม่ต้องงดน้ำ และอาหารล่วงหน้า และไม่ต้องเจาะเลือด วิธีการตรวจคือจะมีสายคาดศีรษะ ข้อมือ และข้อเท้า จะมีเจ้าหน้าที่ผู้ชำนาญการเป็นผู้ทำการตรวจให้ ใช้เวลาตรวจประมาณ 30-45 นาที ระหว่างการตรวจนี้ ผู้รับบริการสามารถนอนพักสบาย ๆ บนเตียงตรวจ จากนั้นแพทย์ของเรา จะเป็นผู้อ่านผลให้ทราบ และแพทย์อาจพิจารณาแนะนำการตรวจอื่น ๆ เพิ่มเติม เพื่อการวินิจฉัยอย่างละเอียดและเจาะลึกมากขึ้น ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับภาวะทางสุขภาพของผู้ป่วยและดุลยพินิจของแพทย์

6.การตรวจ Bio Feedback Scan เหมือนหรือแตกต่าง กับการทำ MRI

MRI Scan (เอ็มอาร์ไอ) เป็นเครื่องมือทางการแพทย์ที่สร้างภาพด้วยสนามแม่เหล็กไฟฟ้าในการถ่ายภาพเนื้อเยื่อ อวัยวะ และโครงสร้างอื่น ๆ ภายในร่างกาย ใช้ในการตรวจวินิจฉัยรอยโรคของผู้ป่วย เพื่อนำมาใช้ในการวางแผนการรักษาและติดตามผลการรักษา

การตรวจ MRI หนึ่งครั้ง จะไม่ได้เป็นการตรวจความผิดปกติของทุกอวัยวะในร่างกาย แต่จะเป็นการตรวจระบบอวัยวะหนึ่งระบบตามความเห็นของแพทย์ เช่น การตรวจสมอง จะแสดงภาพของเนื้อเยื่อสมอง และอวัยวะอื่น ๆ บริเวณสมอง จะไม่สามารถเห็นอวัยวะส่วนอื่น ๆ ได้

ส่วน Bio Feedback Scan เป็นการตรวจวิเคราะห์สภาพร่างกายทุกระบบด้วยคลื่นพลังงาน เพื่อตรวจหาพลังงานของเซลล์ในร่างกาย ตรวจหาการทำงานที่ผิดปกติของอวัยวะต่าง ๆ อย่างลงลึก จากการตอบสนองทางสัญญาณไฟฟ้าของเซลล์ในร่างกายที่บ่งบอกถึงความเสื่อมและแนวโน้มของโรคที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต ซึ่งจะช่วยให้เราสามารถวางแผนการดูแลสุขภาพได้ก่อนที่จะเกิดโรค

ถ้าเปรียบเทียบให้เห็นภาพที่ชัดเจน เสมือนเรามองเห็นสภาพภายนอกของแบตเตอรี่รถยนต์ที่ดูใหม่ สภาพดี แต่ถ้าไม่วัดแบตเตอรี่จะไม่สามารถทราบได้ว่าระดับแบตเตอรี่ที่แท้จริงข้างในนั้นมีอยู่กี่เปอร์เซ็น

การตรวจ Bio Feedback Scan ก็เช่นกัน สามารถประเมินภาวะสมดุลทางพลังงานได้อย่างเที่ยงตรง ทั้งส่งข้อมูลที่จำเป็นให้ร่างกายได้ปรับตัวเข้าสู่สมดุลและค้นหาต้นเหตุแห่งการโรคที่แท้จริง

7.การ Detox เพื่อสวนล้างลำไส้ มีวิธีการอย่างไร

การสวนล้างลำไส้ หรือ Colon Detox มี 2 ระบบ คือ

  1. การสวนล้างลำไส้ระบบปิด เป็นการใช้อุปกรณ์ทางการแพทย์ที่ได้มาตรฐานระดับสากล ในการสวนล้างลำไส้ระดับบนด้วยระบบปิด พัฒนาโดยประเทศเยอรมัน น้ำที่ใช้ในการสวนล้างลำไส้ถูกควบคุมอุณหภูมิให้เหมาะสมต่อร่างกายและผ่านกระบวนการฆ่าเชื้อ มีความบริสุทธิ์และปราศจากเชื้อแบคทีเรีย โดยมีพยาบาลเป็นผู้ควบคุมเครื่องระบบแรงดันและปริมาณน้ำที่เหมาะสม ช่วยให้ปลอดภัยในการส่งน้ำเข้าไปในสำไส้ส่วนลึก จึงสามารถล้างลำไส้ใหญ่ได้ทั้งระบบ และระหว่างทำจะมีพยาบาลนวดบริเวณหน้าท้องไปด้วย โดยผู้ป่วยไม่ต้องออกแรงเบ่งอุจจาระ ต่างจากการสวนล้างแบบระบบอื่น ๆ ที่ส่งน้ำเข้าไปได้เพียงลำไส้ส่วนปลายเท่านั้น ระหว่างบำบัดระบบจะปล่อยน้ำเข้าสู่ลำไส้อย่างช้า ๆ ใช้ระยะเวลาทั้งหมด 45 นาที ผ่านทางทวารหนักด้วยสายสวนขนาดเล็กและถูกขับออกมาในระบบปิด

    สาขาที่ให้บริการ Colon Detox ระบบปิด คือ

    • สาขากรุงเทพฯ โทร 02-651-5988 , 092-646-4464
    • สาขาเชียงใหม่ โทร 053 – 223 - 023 , 095 – 626 - 4522
  2. การสวนล้างลำไส้ระบบเปิด เป็นการสวนล้างลำไส้ โดยใช้ความแรงของน้ำ โดยการสอดท่อเข้าไปบริเวณทวารหนักเช่นเดียวกับระบบปิด แต่แรงดันน้ำจะขึ้นอยู่กับความแรงของการโยก และระดับความสูงของน้ำในถัง ซึ่งปริมาณน้ำที่ใช้ คือน้ำสะอาด 25 ลิตร ผสมสมุนไพรหรือกาแฟตามขั้นตอน ความลึกของการทำ Colon Detox ด้วยวิธีนี้จะสามารถทำได้ถึงประมาณลำไส้ใหญ่ส่วนกลาง จึงเป็นข้อจำกัดที่ไม่สามารถล้างไปถึงต้นขั้วของลำไส้ใหญ่ซึ่งเป็นจุดหมักหมมของกากอาหาร สำหรับข้อดีคือ มีความเป็นส่วนตัวสูง เพราะสามารถควบคุมการโยกของน้ำที่สวนล้างลำไส้ได้เอง โดยไม่ต้องมีพยาบาลอยู่ดูแลระหว่างทำ ใช้เวลาครั้งละ 45-60 นาที

    สาขาที่ให้บริการ Colon Detox ระบบเปิด คือ

    • แอ็บโซลูธ เฮลธ์ สาขาพัทยา โทร 038-423-213 , 081-755 -6121
    • แอ็บโซลูธ เฮลธ์ สาขาอุดรธานี โทร 042-212-600, 092-914 -9664
    • แอ็บโซลูธ เฮลธ์ สาขาขอนแก่น โทร 043-338-208, 087-925-1188
    • แอ็บโซลูธ เฮลธ์ สาขาโคราช โทร 044-756-489, 093-651-5164
8.Ozone Therapy กับ Hematogenous Oxidation Therapy หรือ H.O.T เหมือนกัน หรือต่างกัน อย่างไร

การทำ Ozone Therapy คือ การนำโอโซนทางการแพทย์มาใช้ในการรักษาโรคติดเชื้อ ซึ่งมีการวิจัยและนำโอโซนมาใช้ในการรักษาโรคเป็นเวลากว่า 150 ปีมาแล้ว ซึ่งผลการรักษาได้รับการพิสูจน์แล้วว่าได้ผลและปลอดภัยมีผลข้างเคียงน้อย ซึ่งเป็นเหตุผลที่ศูนย์การแพทย์บูรณาการแอ็บโซลูท เฮทล์ นำโอโซนมาใช้เพื่อบำบัดรักษาผู้ป่วยโรคต่างๆ อาทิ

  • โรคจากการติดเชื้อ ทั้งจากแบคทีเรียและไวรัส เช่น ไข้หวัด การติดเชื้อในลำไส้ หรือระบบต่าง ๆ ในร่างกาย
  • โรคเกี่ยวกับระบบภูมิต้านทาน เช่น โรคแพ้ภูมิตนเอง โรคภูมิแพ้ ช่วยลดการอักเสบ กระตุ้นระบบภูมิต้านทาน และช่วยปรับสมดุลภูมิต้านทาน
  • โรคระบบการไหลเวียนเลือด เช่น ในผู้ป่วยที่เป็นโรคเส้นเลือดหัวใจตีบ โรคเส้นเลือดสมองตีบ อัมพฤกษ์ เพราะโอโซนมีส่วนช่วยกระตุ้นเม็ดเลือดแดงให้มีพลังงานมากขึ้น ช่วยให้ออกซิเจนไปเลี้ยงเนื้อเยื่อได้ดีขึ้นด้วย

    รูปแบบการใช้โอโซนในการรักษานั้น มีทั้งที่ใช้รักษาทั่วร่างกาย และรักษาเฉพาะจุด เพื่อลดการอักเสบเฉพาะจุด บริเวณข้อต่อต่างๆ ของร่างกาย เช่น ไหล่ติด รวมถึงใช้ในการอบแผลเฉพาะจุดสำหรับผู้ป่วยเบาหวาน หรือผู้ที่มีแผลติดเชื้อบริเวณผิวหนัง

ส่วน Hematogenous Oxidation Therapy หรือ H.O.T เป็นหนึ่งในการทำ Ozone Therapy ที่ช่วยกระตุ้นให้ร่างกายเกิดขบวนการ Oxidation กระตุ้นการทำงานของเม็ดเลือดขาว เม็ดเลือดแดง และเกล็ดเลือด ทำให้ออกซิเจนในเนื้อเยื่อสูงขึ้น เป็นการรักษาโดยการลดความเสี่ยงของการอักเสบในร่างกายที่เกิดจากภาวะความเครียดด้านออกซิเดชั่น หรือ Oxidative Stress โดยภาวะ Oxidative Stress นี้จะนำมาซึ่งความอักเสบเรื้อรังในบริเวณเยื่อบุเซลล์ของหลอดเลือด ทำให้ชั้นกล้ามเนื้อของหลอดเลือดมีความหนาตามหนา ซึ่งอาจส่งผลให้หลอดเลือดตีบ และก่อให้เกิดความเสี่ยงของโรคหลอดเลือดหัวใจได้

การทำ Oxidation Therapy ในผู้ที่เป็นโรคติดเชื้อเรื้อรัง อาทิ ไวรัสตับอักเสบ โรคข้ออักเสบ โรคจากไวรัสคอกแซคกิ (Coxsackie Virus) เชื้อเริม งูสวัส ไข้หวัดใหญ่ วัณโรค ปอดบวม จะช่วยเรื่องการไหลเวียนของเลือดฝอย ช่วยให้การอักเสบลดลง ต่อต้านการติดเชื้อ ระบบภูมิคุ้มกันดีขึ้น และเป็นการดีท็อกซ์ระดับเซลล์

9.ถ้าเราอยากทราบว่าภายในร่างกายมีสารพิษตกค้างหรือไม่ และจะมีวิธีการรักษาอย่างไรบ้าง

เราสามารถตรวจหาสารพิษในร่างกายได้ โดยการตรวจเลือดที่เรียกว่า Toxic Metals Profile in Bloodซึ่งเป็นโปรแกรมตรวจหาสารพิษโลหะหนักในร่างกาย 9 ชนิด ได้แก่

  1. Cr - โครเมี่ยม
  2. Co - โคบอลต์
  3. Mn - แมงกานิส
  4. Ni - นิคเกิล
  5. Hg - ปรอท
  6. Pb - ตะกั่ว
  7. Cd - แคดเมี่ยม
  8. As - สารหนู
  9. Al - อลูมิเนี่ยม

เป็นการตรวจใช้วิธีการเจาะเลือด โดยไม่ต้องงดน้ำ งดอาหาร ล่วงหน้า และ ทราบผลตรวจได้ภายใน 7-10 วัน

ซึ่งสารพิษที่อยู่ในร่างกายจะส่งผลให้เกิดการอักเสบเรื้อรัง และเกิดความเสื่อมของเซลล์ในระบบต่าง ๆ ของร่างกาย ซึ่งเป็นต้นเหตุของโรคเรื้อรังต่าง ๆ ตามมาได้ แพทย์จะพิจารณาวางแผนการขจัดสารพิษออกจากร่างกายด้วยการทำ “คีเลชั่น” (Chelation Therapy) โดยใช้ตัวยาที่มีคุณสมบัติดูดซับสารพิษและขจัดออกทางปัสสาวะ (Chelating Agent) อาทิ EDTA, DMSA, หรือ DMPS

เมื่อสารพิษโลหะหนักถูกขับออกพร้อมปัสสาวะ จึงช่วยลดการคั่งค้างของสารพิษโลหะหนักในร่างกาย นอกจากนี้ เรายังมีการผสมวิตามินและแร่ธาตุต่าง ๆ มีส่วนช่วยฟื้นฟูสุขภาพ เพื่อปรับสมดุลร่างกายไปพร้อม ๆ กัน ซึ่งการทำคีเลชั่นมีอยู่ 3 รูปแบบ ดังนี้

  1. แบบการให้น้ำเกลือทางหลอดเลือดดำ
  2. แบบสอดผ่านการเหน็บทางทวารหนัก
  3. แบบรับประทานผ่านการกิน

โดยแพทย์จะพิจารณาจากประวัติการตรวจร่างกาย อาการที่แสดง และผลตรวจทางห้องปฏิบัติการเพื่อตรวจสอบประเภทสารพิษก่อนว่าเป็นสารพิษประเภทใด เพื่อใช้ตัวยาในการดูดซับสารพิษให้เหมาะสมกับคนไข้แต่ละบุคคลมากที่สุด

10.NAD+ คือ อะไร มีประโยชน์อย่างไร

NAD+ คือ นิโคตินาไมค์อะดีนีนไดนิวคลิโอไตด์ เป็นเอนไซม์ที่เกิดขึ้นมาตามธรรมชาติพบอยู่ในเซลล์ ทุกเซลล์ในร่างกาย มีความสำคัญมากต่อการมีชีวิต และเป็นสารสำคัญที่จะช่วยซ่อมแซมอวัยวะของร่างกาย รวมถึงช่วยชะลอความชรา และความเจ็บป่วยด้วยโรคต่าง ๆ เพราะ NAD+ ต้องเข้าไปเกี่ยวข้องกับการทำงาน ของเซลล์มากกว่า 500 อย่าง ถ้าเราขาด NAD+ ชีวิตเราจะอยู่ได้ไม่เกิน 30 วินาที

เปรียบง่าย ๆ กับโทรศัพท์มือถือที่ต้องมีกระแสไฟจากแบตเตอรี่ไปหล่อเลี้ยง ถ้าแบตหมดมือถือก็ทำงาน ไม่ได้ โดยพลังงานของแบตเตอรี่ในเซลล์ได้มาจากการเผาผลาญของสารอาหาร ทั้งคาร์โบไฮเดรต โปรตีน และไขมัน ทำปฏิกริยากับออกซิเจน โดยมี NAD+เป็นตัวจักรสำคัญในขบวนการผลิตพลังงาน

โดยพบว่าคนในช่วงวัยกลางคน ปริมาณของ NAD+ จะลดลงไปถึง 50 %ของระดับความอ่อนเยาว์ และเหลือเพียง 1-10% เมื่ออายุ 80 ซึ่งการลดลงของ NAD+ นั้น จะส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงต่อสุขภาพและความชรา

NAD+ ถือเป็นการรักษาที่ได้รับการพัฒนาล่าสุด ในเรื่องการช่วยส่งเสริมการเกิดใหม่ของเซลล์ มีผลต่อการซ่อมแซมเซลล์ และการเผาผลาญของเซลล์

ประโยชน์ของ NAD+

  • ช่วยชะลอความชราของเซลล์ ต่อต้านริ้วรอย ยืดอายุให้นานขึ้น
  • ช่วยฟื้นฟูการทำงานของระบบประสาท และความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ
  • แก้ไขปัญหาความเหนื่อยล้าและเพิ่มระดับพลังงาน
  • แก้ไขข้อบกพร่องในการเผาผลาญที่ส่งผลถึงการเกิดโรคต่าง ๆ อาทิ โรคอ้วน โรคเบาหวาน โรคหัวใจ โรคหลอดเลือด และโรคระบบประสาท

NAD+ ของแอ็บโซลูธ เฮลธ์ จะเป็นสูตรเฉพาะบุคคลจากแพทย์ โดยเป็นการให้ผ่านทางหลอดเลือด เหมือนกับการให้น้ำเกลือ ใช้ระยะเวลา 2-3 ชั่วโมง โดยประมาณ

11.การรักษาอาการปวดต่าง ๆ โดยไม่ต้องใช้ยา หรือผ่าตัด มีวิธีการรักษาอย่างไร

Pain Management เป็นการรักษาอาการเจ็บปวด โดยใช้เครื่องมือกายภาพบำบัด ร่วมกับการฉีดจุด เพื่อรักษาอาการปวด สามารถรักษาได้ทั้งอาการปวดเรื้อรัง เช่น อาการปวดหลัง ปวดเข่าเรื้อรัง อาการปวดจาก ออฟฟิศซินโดรม ไขข้อกระดูกทับเส้นประสาท รองช้ำ หมอนรองกระดูกอักเสบ เส้นประสาทกดทับ ทำให้เกิด อาการปวด เป็นต้น

รวมถึง อาการปวดแบบเฉียบพลัน ได้แก่ กล้ามเนื้อ เส้นเอ็นอักเสบ เอ็นร้อยหวายอักเสบ อาการบาดเจ็บจากอุบัติเหตุต่าง ๆ อาการบาดเจ็บจากการออกกำลังกาย หรือสาเหตุอื่น ๆ ที่ทำให้เกิดอาการปวดหรือตึง บริเวณกล้ามเนื้อและเส้นประสาท โดยใช้เครื่องมือการรักษาที่ทันสมัย ประกอบด้วย

  1. เครื่องคลื่นแม่เหล็ก Magnetic Stimulation ช่วยบำบัดลดอาการปวดได้ดีในกลุ่มผู้ที่มีปัญหาจากเส้นประสาท จะช่วยกระตุ้นในเส้นประสาทได้รับการฟื้นฟู เช่น ปวดหรือชา ร้าวลงแขน ขา กลุ่มโรคที่แนะนำคือ ออฟฟิศซินโดรม อาการปวดคอบ่าไหล่ ปวดหลัง
  2. เครื่อง Shockwave ช่วยลดอาการปวดเรื้อรัง ช่วยให้เคลื่อนไหวได้ดีขึ้น และช่วยกระตุ้นการซ่อมแซมเนื้อเยื่อที่ได้รับบาดเจ็บเรื้อรัง เช่น รองช้ำ อาการปวดตึงกล้ามเนื้อ
  3. เครื่องเลซอร์กำลังสูง High Power Laser Therapy ช่วยบำบัดอาการปวดและการอักเสบได้ดีในระยะเฉียบพลัน เช่น การบาดเจ็บจากการเล่นกีฬา อาการบาดเจ็บจากการเกิดอุบัติเหตุ

ในการรักษาแต่ละครั้งจะใช้เวลาประมาณ 30 นาที โดยนักกายภาพจะเป็นผู้ประเมินอาการในการรักษา ว่าควรใช้เครื่องมือใดบ้าง จึงจะเหมาะสมกับอาการปวดของคนไข้ ในบางเคสสามารถใช้ได้ทั้ง 3 เครื่องในการ รักษาแต่ละครั้ง ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับอาการของคนไข้เป็นหลัก

12.Prolotherapy คือ อะไร ช่วยเรื่องอาการอะไร

Prolotherapy เป็นการฉีดจุด รักษาอาการปวด โดยการฉีดสารสกัดจากธรรมชาติ เข้าไปในบริเวณที่บาดเจ็บ หรือเสื่อมสภาพ เป็นการกระตุ้นให้เกิดการอักเสบเล็กน้อยเพื่อให้เกิดกระบวนการซ่อมแซม เนื้อเยื่อของร่างกายตามธรรมชาติ เพราะโดยปกติเมื่อมีการอักเสบเกิดขึ้นเม็ดเลือดขาวชนิดต่าง ๆ จะวิ่งมายังบริเวณที่มีการอักเสบ และมีการหลั่ง Growth Factor รวมถึง มีการดึงดูดเซลล์ประเภท fibroblast ให้เกิดการ ซ่อมแซมขึ้น และมีการสร้างเนื้อเยื่อใหม่ตามมา ช่วยให้เส้นเอ็นหรือเนื้อเยื่อบริเวณที่ฉีดแข็งแรงขึ้น และหาย จากอาการปวดได้ ซึ่งต่างจากการฉีดยาลดปวดหรือลดอักเสบ ซึ่งเป็นเพียงการรักษาตามอาการเท่านั้น

Prolotherapy เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาเส้นเอ็น กระดูกและข้อ และมีอาการปวดไม่มากนัก อาทิ

  • นักกีฬาที่มีอาการบาดเจ็บ
  • ผู้ที่มีปัญหาข้อเข่าเสื่อม หมอนรองกระดูกสันหลังเสื่อม กระดูกคอเสื่อม
  • ผู้ที่มีอาการปวดข้อศอก ข้อเท้า เอ็นร้อยหวายอักเสบเรื้อรัง เป็นต้น
13.PRP คือ อะไร เหมาะสำหรับการรักษาอาการ อะไร

PRP (Platelet Rich Plasma) Therapy เป็นการฉีดจุด รักษาอาการปวด เพื่อกระตุ้นให้เกิดการซ่อมแซมเนื้อเยื่อตามธรรมชาติ โดยเป็นการฉีดเกล็ดเลือดเข้มข้นของตัวคนไข้เอง ที่นำไปผ่านกระบวนการกระตุ้นให้เกิด Growth Factor แล้วจึงฉีดเข้าไปบริเวณที่มีอาการปวดที่ต้องการฟื้นฟู จึงมีความปลอดภัยสูง เพราะใช้เลือดจากตัวคนไข้เอง

เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการซ่อมแซม ฟื้นฟูร่างกายจากความเสื่อมของกระดูกอวัยวะต่าง ๆ หรือจากการบาดเจ็บของกระดูก เส้นเอ็น ข้อ

รวมถึง ใช้ในการฟื้นฟูผิวหนังที่เสื่อมสภาพลงให้กลับมาแข็งแรง คืนความอ่อนเยาว์ให้กับผิวหน้า ลดเลือนริ้วรอยที่เกิดจากวัย รูขุมขน รอยแผลเป็น หลุมสิว ช่วยทำให้ผิวพรรณกระชับ เต่งตึง และอ่อนเยาว์กว่าวัย

ซึ่ง PRP ของแอ็บโซลูธ เฮลธ์ จะเป็นสูตร PRP4X คือ ใช้กระบวนการสกัดแบบพิเศษสามารถสกัดให้ได้ Growth Factor เข้มข้นมากกว่าปกติถึง 4 เท่า ช่วยซ่อมแซม ฟื้นฟูได้ดียิ่งขึ้นกว่า PRP ปกติทั่วไป

14.การตรวจคัดกรองมะเร็งระยะศูนย์ คือ อะไร ต่างจากการตรวจมะเร็งแบบทั่วไป อย่างไร

การตรวจคัดกรองมะเร็งระยะศูนย์ คือ การตรวจความเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็งได้ตั้งแต่ระยะก่อนการเกิดโรค หรือ RV Test (Zero Cancer Screening Test) ซึ่งเป็นการตรวจที่ลงลึกไปถึงกลไกทางระบบการเผาผลาญของมะเร็งร่วมกับภูมิต้านทานที่มีความจำเพาะกับมะเร็ง เป็นการตรวจคัดกรองมะเร็งที่ครอบคลุมโรคมะเร็งได้เกือบทุกชนิด

โดยใช้เพียงตัวอย่างเลือด 3 cc ส่งไปตรวจวิเคราะห์โดยผู้เชี่ยวชาญที่ห้องปฏิบัติ การ ประเทศเยอรมัน และทราบผลการตรวจได้ใน 10 – 14 วัน สามารถตรวจคัดกรอง Solid Tumor หรือเนื้องอกได้ตั้งแต่ในระยะเริ่มแรก หรือตั้งแต่ยังไม่ลุกลามไปเป็นเนื้อร้ายหรือเซลล์มะเร็ง โดยจะอาศัยระบบภูมิคุ้ม กันของร่างกายในการระบุความผิดปกติ

ส่วนการตรวจคัดกรองมะเร็งด้วยวิธีพื้นฐาน เช่น การตรวจเลือดเพื่อหาสารบ่งชี้โรคมะเร็ง การตรวจอัลตราซาวด์ หรือการตรวจเอกซเรย์ อาจจะตรวจพบความผิดปกติในระยะเริ่มแรกได้ค่อนข้างยาก เพราะโรคมะเร็งเป็นโรคที่ไม่แสดงอาการใด ๆ ในระยะเริ่มแรก

อย่างไรก็ตาม เราสามารถนำผลการตรวจ Zero Cancer Screening Test นี้ ไปใช้ควบคู่กับการตรวจโดยการเจาะเลือดดูค่าบ่งชี้มะเร็งมาตรฐาน หรือควบคู่กับการตรวจ CT Scan และการทำอัลตราซาวด์ได้ เพื่อให้สามารถตรวจพบการเกิดโรคมะเร็ง หรือกลับมาเป็นซ้ำของมะเร็งได้รวดเร็วขึ้น

15.ONDAMED คืออะไร ช่วยดูแลสุขภาพได้อย่างไร

ONDAMED เป็นเครื่องที่ให้พลังงานกับเซลล์ โดยอาศัยหลักการที่ว่าทุกเซลล์ในร่างกายของเรา ประกอบ ไปด้วยประจุไฟฟ้า   หรือที่เรียกว่า Membrane Potential ซึ่งหากเซลล์ใดมีการอักเสบ บาดเจ็บ หรือมีปัญหา  เซลล์นั้น ๆ ก็จะมีพลังที่ตกไปด้วย

ONDAMED เปรียบเหมือนเครื่องชาร์ตแบต ที่จะเติมพลังงานให้กับเซลล์นั้น ๆ เพื่อให้เซลล์กลับมามีพลัง งานเหมือนเดิม และทำหน้าที่ได้ดีตามเดิม

ขั้นตอนในการรักษาด้วย ONDAMED ประกอบไปด้วย 4 ขั้นตอนหลัก ได้แก่

  1. Scan : เพื่อหาว่าในร่างกายเรามีรูรั่วของพลังงานที่จุดใดบ้าง เพื่อทำการอุดรูรั่วของพลังงานนั้น
  2. Program Treatment : จับว่าคลื่นของโปรแกรมใดจะช่วยในการซ่อมแซมร่างกายได้บ้างในวันนั้น ๆ ซึ่งมีการออกแบบโปรแกรมมามากถึง 174 โปรแกรม เช่น โปรแกรมสำหรับฮอร์โมนแปรปรวน โปรแกรมสำหรับ การลดความเครียด เป็นต้น ทั้งนี้ โปรแกรมที่ใช้ในการรักษาจะขึ้นอยู่กับคลื่นความถี่ปกติที่เครื่อง ONDAMED ตรวจจับได้
  3. Microorganism : เป็นการตรวจสอบว่าในร่างกายมีคลื่นความถี่ของเชื้อโรคชนิดใดอยู่บ้าง หลังจากนั้น เครื่องจะทำการจำลองเลียนแบบคลื่นความถี่ของเชื้อโรคที่เป็นอันตรายต่อร่างกายมากที่สุดในขณะนั้น และส่ง กลับคืนให้ร่างกาย เมื่อร่างกายรับรู้ได้ถึงคลื่นที่ส่งมา ร่างกายก็จะเข้าใจว่ามีเชื้อโรคเข้ามา จึงเป็นการกระตุ้นระบบ

    ภูมิคุ้มกันของร่างกายให้ออกมาต่อสู้กับเชื้อโรคเหล่านี้มากขึ้น ทั้ง ๆ ที่ในความเป็นจริงแล้ว ไม่ได้มีเชื้อโรคเข้ามา มากขึ้น  แต่เป็นเพียงคลื่นความถี่ที่เครื่อง ONDAMED จำลองข้อมูลส่งมาให้

  4. Nutritional Balance : เป็นการตรวจสอบว่ายังมีสารอาหารใดในร่างกายบ้าง ที่ไม่อยู่ในจุดที่พอดี   เครื่องจะกระตุ้นให้ดูดซึมได้ดีขึ้น หรือขับออกได้ดีขึ้นตามความเหมาะสม

ONDAMED จึงเป็นเครื่องมือทางการแพทย์ที่เป็นที่ยอมรับกันอย่างกว้างขวางทั่วโลก ใช้ได้ดีในแทบทุก กลุ่มอาการ หรือใช้เป็นตัวเลือกเพื่อฟื้นฟูสุขภาพ สำหรับคนที่ต้องการจะดูแลสุขภาพให้ดีอยู่เสมอ

16.การตรวจภูมิแพ้อาหารแฝง คือ อะไร ใครควรตรวจบ้าง

การตรวจภูมิแพ้อาหารแฝง Food IgG Test เป็นการตรวจเพื่อวิเคราะห์ว่าร่างกายมีปฏิกิริยาต่ออาหารชนิดใดบ้าง ซึ่งสามารถตรวจการแพ้ในอาหารได้ 216 ชนิด ครอบคลุมอาหารที่รับประทานเป็นประจำ   โดยใช้วิธีการเจาะเลือดบริเวณแขนพับ โดยไม่ต้องงดน้ำ งดอาหาร   ซึ่งผลการตรวจจะแสดงระดับสีของการแพ้ แบ่งออกเป็น 3 ระดับ ได้แก่

  • สีแดง กลุ่มอาหารที่เป็นปัญหา แพ้ระดับรุนแรง ควรงดรับประทานอย่างน้อย 3-6 เดือน
  • สีส้ม กลุ่มอาหารที่เป็นปัญหา แพ้ระดับปานกลาง ควรลดปริมาณการรับประทานลง  หรือรับประทานเดือนละครั้ง
  • สีเหลือง กลุ่มอาหารที่เป็นปัญหา แพ้ระดับต่ำ ควรลดการรับประทานอาหารกลุ่มนี้ลง และหมุนเวียนการรับประทานอาหารกลุ่มนี้อย่างน้อย 3 เดือน
  • สีเขียว กลุ่มอาหารที่ไม่พบปัญหา สามารถรับประทานได้โดยไม่มีข้อจำกัด 

เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาโรคภูมิแพ้ ภูมิเพี้ยน หรือ ภูมิคุ้มกันทำลายตัวเอง (SLE) ผู้ที่มีปัญหาลำไส้แปรปรวน กรดไหลย้อน ระบบการย่อย การขับถ่ายไม่ดี ท้องอืด ท้องเฟ้อบ่อย ๆ รวมถึง ผู้ที่มีปัญหาโรคเรื้อรังที่มีลำไส้รั่วซึม (Leaky Gut Syndrome) อันเป็นสาเหตุที่เกี่ยวข้องกับโรคต่าง ๆ

ผลการตรวจภูมิแพ้อาหารแฝงจะทำให้ทราบถึงชนิดอาหารที่แพ้ จึงเป็นแนวทางให้สามารถหลีกเลี่ยงอาหารที่แพ้ หรือเลือกรับประทานในปริมาณที่เหมาะสมตามคำแนะนำของแพทย์ และยังเป็นประโยชน์กับการดูแลสุขภาพด้วยตัวเองในระยะยาวได้อีกด้วย

17.ไฟโบรบลาสต์ คืออะไร เหมือนหรือแตกต่างกับฟิลเลอร์ อย่างไร

ไฟโบรบลาสต์ (Fibroblast) คือ เซลล์ที่เป็นตัวสร้างโปรตีน คอลลาเจนและอิลาสติน ซึ่งช่วยในการรักษาความชุ่มชื้นให้กับผิวหนัง ช่วยยึดเหนี่ยวให้มีความเเข็งแรงและความยืดหยุ่นกับผิวหนัง เมื่ออายุมากขึ้นตั้งแต่ 25-30 ปี ขึ้นไป ไฟโบรบลาสต์จะค่อย ๆ ลดจำนวนลง ไม่สร้างคอลาเจนและอิลาสตินขึ้นใหม่ แต่ด้วยวิทยา การที่ก้าวหน้า เราจึงสามารถเติมไฟโบรบลาสต์เข้าไปในชั้นผิวหนังได้ เมื่อไฟโบรบลาสต์มีจำนวนมากขึ้น ก็จะสร้างคอลลาเจนและอิลาสตินให้มีมากขึ้นได้ ดังนั้น ความยืดหยุ่น ความกระชับ และความเต่งตึงของผิวหนังก็จะฟื้นขึ้นใหม่ ช่วยให้มีคุณภาพผิวที่ดีและเปล่งปลั่งมากขึ้นจากภายใน

ส่วนการใช้ฟิลเลอร์ คือ การฉีดสารช่วยเติมเต็มหรือปรับแต่งรูปทรงสัดส่วนแต่ละจุดบนใบหน้า เช่น ริ้วรอยใต้ตา ร่องแก้ม โหนกแก้ม ปลายคาง ริ้วรอยบนหน้าผาก ซึ่งเป็นสารเติมเต็มจากภายนอก เพื่อช่วยให้ได้รูปทรงใบหน้าที่สวยงามมากยิ่งขึ้นในเวลาอันรวดเร็ว

SEND A MESSAGE
Your email address will not be published. Required fields are marked.
CALL US : 02 651 5988
Select AH Find Dr Contact Us