ศูนย์การแพทย์บูรณาการแอ็บโซลูท เฮลธ์ กรุงเทพฯ ตั้งอยู่ที่ ชั้น 3 อาคาร Urbis ซอยร่วมฤดี ถนนเพลินจิต สถานีรถไฟฟ้า BTS เพลินจิต เข้ามาในซอยร่วมฤดี ระยะทางประมาณ 600 เมตร
โทร 02- 651-5988, 092-646-4464 เปิดให้บริการ ทุกวัน เวลา 9:00-18:00 น.
- ศูนย์การแพทย์บูรณาการแอ็บโซลูท เฮลธ์ เชียงใหม่ โทร. 053 – 223 - 023, 095 – 626 – 4522 เปิดบริการ ทุกวัน ยกเว้นวันพุธ เวลา 9:00-18:00 น.
- ศูนย์การแพทย์บูรณาการแอ็บโซลูท เฮลธ์ พัทยา โทร. 038-423-213, 081-755 -6121 เปิดบริการ ทุกวัน ยกเว้นวันพุธ เวลา 9:00-18:00 น.
- ศูนย์การแพทย์บูรณาการแอ็บโซลูท เฮลธ์ โคราช โทร. 044-756-489, 093-651-5164 เปิดบริการทุกวัน ยกเว้น วันพุธ เวลา 9:00-18:00 น.
- ศูนย์การแพทย์บูรณาการแอ็บโซลูท เฮลธ์ ขอนแก่น โทร. 043-338-208, 087-925-1188 เปิดบริการทุกวัน ยกเว้น วันพุธ เวลา 9:00-18:00 น.
- ศูนย์การแพทย์บูรณาการแอ็บโซลูท เฮลธ์ อุดรธานี โทร. 042-212-600, 092-914 -9664 เปิดบริการทุกวัน ยกเว้น วันพุธ เวลา 9:00-18:00 น.
แอ็บโซลูท เฮลธ์ เป็นศูนย์สุขภาพครบวงจร ให้บริการดูแลรักษาและฟื้นฟูสุขภาพ ด้วยหลักการแพทย์บูรณาการ ผสามผสานนวัตกรรมการรักษาจากหลากหลายศาสตร์ทางการแพทย์ เน้นการรักษาที่ต้นเหตุ ป้องกันไม่ให้เกิดโรค และส่งเสริมการดูแลสุขภาพแบบองค์รวม ครอบคลุมทุกระบบของร่างกาย ปรับสมดุลฮอร์โมน สมดุลวิตามินและเกลือแร่ ฟื้นฟูและรักษาโรคเรื้อรัง เช่น เบาหวาน มะเร็ง หลอดเลือดตีบ ตัน และปัญหาจากความเสื่อมต่าง ๆ ได้แก่ สมองเสื่อม อัลไซเมอร์ พาร์กินสัน เข่าเสื่อม กระดูกสันหลังเสื่อม เป็นต้น เพื่อเสริมสร้างสุขภาพที่ดีอย่างยั่งยืน ต่างจากการรักษาที่โรงพยาบาลที่ส่วนใหญ่จะเป็นการรักษาตามอาการ เพื่อให้ผู้ป่วยหายจากอาการเจ็บป่วยจากโรคต่าง ๆ เป็นหลัก
หากสนใจรับการรักษา แนะนำให้เข้ามาพบเพื่อปรึกษาแพทย์ก่อนในครั้งแรก ผู้ป่วยหรือญาติสามารถนำประวัติการเจ็บป่วยเข้ามาปรึกษาก่อน เพราะแพทย์จำเป็นต้องตรวจร่างกายและมีข้อมูลของผู้ป่วยที่เพียงพอ จึงจะสามารถวางแผนการรักษาได้ โดยค่าใช้จ่ายในการเข้ารับคำปรึกษาในครั้งแรก 1,000 บาท
หลังจากที่มีการตรวจร่างกายแล้ว แพทย์จะวางแผนการรักษา โดยจะมีผู้ช่วยแพทย์เป็นที่ปรึกษาของผู้ป่วยในการสรุปแผนการรักษา และประเมินค่าใช้จ่ายทั้งหมดให้กับผู้ป่วยทราบ เพื่อการตัดสินใจก่อนเข้ารับการรักษาในขั้นตอนต่อไป
Bio Feedback Scan เป็นการตรวจวิเคราะห์สภาพร่างกายทุกระบบด้วยคลื่นพลังงาน เพื่อประเมินระบบการทำงานต่าง ๆ ของร่างกาย และสภาวะความเสื่อมถอยของแต่ละอวัยวะ รวมถึงความสมบูรณ์ของฮอร์โมน วิตามิน สารอาหาร ภาวะการอักเสบในร่างกาย รวมถึงระดับสารพิษตกค้างในร่างกาย ทำให้เราทราบได้ว่าระบบใดบ้างในร่างกายที่มีความอ่อนแอหรือผิดปกติ และทราบถึงความเสี่ยงหรือแนวโน้มการเกิดโรคในอนาคต
ซึ่งผลการตรวจ Bio Feedback Scan จะนำมาสู่การดูแลสุขภาพของตัวเอง โดยเน้นการปรับพฤติกรรมที่ส่งผลต่อความเสี่ยงในการเกิดโรคต่าง ๆ รวมถึงเสริมการรักษาในเชิงป้องกันโรคได้
เหมาะสำหรับผู้ที่มีอาการผิดปกติเกิดขึ้นแล้วในร่างกาย แต่ยังไม่สามารถหาสาเหตุได้ เพื่อให้เราสามารถค้นพบต้นเหตุของการเจ็บป่วยและรักษาได้อย่างตรงจุด รวมถึงผู้ที่ยังไม่มีอาการเจ็บป่วยใด ๆ ก็สามารถใช้เป็นแนวทางในการดูแลสุขภาพเพื่อป้องกันความเสี่ยงต่อการเจ็บป่วยในอนาคตได้
ด้วยวิธีการตรวจที่สะดวก สบาย สามารถตรวจได้โดยไม่ต้องงดน้ำ และอาหารล่วงหน้า และไม่ต้องเจาะเลือด วิธีการตรวจคือจะมีสายคาดศีรษะ ข้อมือ และข้อเท้า จะมีเจ้าหน้าที่ผู้ชำนาญการเป็นผู้ทำการตรวจให้ ใช้เวลาตรวจประมาณ 30-45 นาที ระหว่างการตรวจนี้ ผู้รับบริการสามารถนอนพักสบาย ๆ บนเตียงตรวจ จากนั้นแพทย์ของเรา จะเป็นผู้อ่านผลให้ทราบ และแพทย์อาจพิจารณาแนะนำการตรวจอื่น ๆ เพิ่มเติม เพื่อการวินิจฉัยอย่างละเอียดและเจาะลึกมากขึ้น ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับภาวะทางสุขภาพของผู้ป่วยและดุลยพินิจของแพทย์
MRI Scan (เอ็มอาร์ไอ) เป็นเครื่องมือทางการแพทย์ที่สร้างภาพด้วยสนามแม่เหล็กไฟฟ้าในการถ่ายภาพเนื้อเยื่อ อวัยวะ และโครงสร้างอื่น ๆ ภายในร่างกาย ใช้ในการตรวจวินิจฉัยรอยโรคของผู้ป่วย เพื่อนำมาใช้ในการวางแผนการรักษาและติดตามผลการรักษา
การตรวจ MRI หนึ่งครั้ง จะไม่ได้เป็นการตรวจความผิดปกติของทุกอวัยวะในร่างกาย แต่จะเป็นการตรวจระบบอวัยวะหนึ่งระบบตามความเห็นของแพทย์ เช่น การตรวจสมอง จะแสดงภาพของเนื้อเยื่อสมอง และอวัยวะอื่น ๆ บริเวณสมอง จะไม่สามารถเห็นอวัยวะส่วนอื่น ๆ ได้
ส่วน Bio Feedback Scan เป็นการตรวจวิเคราะห์สภาพร่างกายทุกระบบด้วยคลื่นพลังงาน เพื่อตรวจหาพลังงานของเซลล์ในร่างกาย ตรวจหาการทำงานที่ผิดปกติของอวัยวะต่าง ๆ อย่างลงลึก จากการตอบสนองทางสัญญาณไฟฟ้าของเซลล์ในร่างกายที่บ่งบอกถึงความเสื่อมและแนวโน้มของโรคที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต ซึ่งจะช่วยให้เราสามารถวางแผนการดูแลสุขภาพได้ก่อนที่จะเกิดโรค
ถ้าเปรียบเทียบให้เห็นภาพที่ชัดเจน เสมือนเรามองเห็นสภาพภายนอกของแบตเตอรี่รถยนต์ที่ดูใหม่ สภาพดี แต่ถ้าไม่วัดแบตเตอรี่จะไม่สามารถทราบได้ว่าระดับแบตเตอรี่ที่แท้จริงข้างในนั้นมีอยู่กี่เปอร์เซ็น
การตรวจ Bio Feedback Scan ก็เช่นกัน สามารถประเมินภาวะสมดุลทางพลังงานได้อย่างเที่ยงตรง ทั้งส่งข้อมูลที่จำเป็นให้ร่างกายได้ปรับตัวเข้าสู่สมดุลและค้นหาต้นเหตุแห่งการโรคที่แท้จริง
การสวนล้างลำไส้ หรือ Colon Detox มี 2 ระบบ คือ
- การสวนล้างลำไส้ระบบปิด เป็นการใช้อุปกรณ์ทางการแพทย์ที่ได้มาตรฐานระดับสากล ในการสวนล้างลำไส้ระดับบนด้วยระบบปิด พัฒนาโดยประเทศเยอรมัน น้ำที่ใช้ในการสวนล้างลำไส้ถูกควบคุมอุณหภูมิให้เหมาะสมต่อร่างกายและผ่านกระบวนการฆ่าเชื้อ มีความบริสุทธิ์และปราศจากเชื้อแบคทีเรีย โดยมีพยาบาลเป็นผู้ควบคุมเครื่องระบบแรงดันและปริมาณน้ำที่เหมาะสม ช่วยให้ปลอดภัยในการส่งน้ำเข้าไปในสำไส้ส่วนลึก จึงสามารถล้างลำไส้ใหญ่ได้ทั้งระบบ และระหว่างทำจะมีพยาบาลนวดบริเวณหน้าท้องไปด้วย โดยผู้ป่วยไม่ต้องออกแรงเบ่งอุจจาระ ต่างจากการสวนล้างแบบระบบอื่น ๆ ที่ส่งน้ำเข้าไปได้เพียงลำไส้ส่วนปลายเท่านั้น ระหว่างบำบัดระบบจะปล่อยน้ำเข้าสู่ลำไส้อย่างช้า ๆ ใช้ระยะเวลาทั้งหมด 45 นาที ผ่านทางทวารหนักด้วยสายสวนขนาดเล็กและถูกขับออกมาในระบบปิด
สาขาที่ให้บริการ Colon Detox ระบบปิด คือ
- สาขากรุงเทพฯ โทร 02-651-5988 , 092-646-4464
- สาขาเชียงใหม่ โทร 053 – 223 - 023 , 095 – 626 - 4522
- การสวนล้างลำไส้ระบบเปิด เป็นการสวนล้างลำไส้ โดยใช้ความแรงของน้ำ โดยการสอดท่อเข้าไปบริเวณทวารหนักเช่นเดียวกับระบบปิด แต่แรงดันน้ำจะขึ้นอยู่กับความแรงของการโยก และระดับความสูงของน้ำในถัง ซึ่งปริมาณน้ำที่ใช้ คือน้ำสะอาด 25 ลิตร ผสมสมุนไพรหรือกาแฟตามขั้นตอน ความลึกของการทำ Colon Detox ด้วยวิธีนี้จะสามารถทำได้ถึงประมาณลำไส้ใหญ่ส่วนกลาง จึงเป็นข้อจำกัดที่ไม่สามารถล้างไปถึงต้นขั้วของลำไส้ใหญ่ซึ่งเป็นจุดหมักหมมของกากอาหาร สำหรับข้อดีคือ มีความเป็นส่วนตัวสูง เพราะสามารถควบคุมการโยกของน้ำที่สวนล้างลำไส้ได้เอง โดยไม่ต้องมีพยาบาลอยู่ดูแลระหว่างทำ ใช้เวลาครั้งละ 45-60 นาที
สาขาที่ให้บริการ Colon Detox ระบบเปิด คือ
- แอ็บโซลูธ เฮลธ์ สาขาพัทยา โทร 038-423-213 , 081-755 -6121
- แอ็บโซลูธ เฮลธ์ สาขาอุดรธานี โทร 042-212-600, 092-914 -9664
- แอ็บโซลูธ เฮลธ์ สาขาขอนแก่น โทร 043-338-208, 087-925-1188
- แอ็บโซลูธ เฮลธ์ สาขาโคราช โทร 044-756-489, 093-651-5164
การทำ Ozone Therapy คือ การนำโอโซนทางการแพทย์มาใช้ในการรักษาโรคติดเชื้อ ซึ่งมีการวิจัยและนำโอโซนมาใช้ในการรักษาโรคเป็นเวลากว่า 150 ปีมาแล้ว ซึ่งผลการรักษาได้รับการพิสูจน์แล้วว่าได้ผลและปลอดภัยมีผลข้างเคียงน้อย ซึ่งเป็นเหตุผลที่ศูนย์การแพทย์บูรณาการแอ็บโซลูท เฮทล์ นำโอโซนมาใช้เพื่อบำบัดรักษาผู้ป่วยโรคต่างๆ อาทิ
- โรคจากการติดเชื้อ ทั้งจากแบคทีเรียและไวรัส เช่น ไข้หวัด การติดเชื้อในลำไส้ หรือระบบต่าง ๆ ในร่างกาย
- โรคเกี่ยวกับระบบภูมิต้านทาน เช่น โรคแพ้ภูมิตนเอง โรคภูมิแพ้ ช่วยลดการอักเสบ กระตุ้นระบบภูมิต้านทาน และช่วยปรับสมดุลภูมิต้านทาน
- โรคระบบการไหลเวียนเลือด เช่น ในผู้ป่วยที่เป็นโรคเส้นเลือดหัวใจตีบ โรคเส้นเลือดสมองตีบ อัมพฤกษ์ เพราะโอโซนมีส่วนช่วยกระตุ้นเม็ดเลือดแดงให้มีพลังงานมากขึ้น ช่วยให้ออกซิเจนไปเลี้ยงเนื้อเยื่อได้ดีขึ้นด้วย
รูปแบบการใช้โอโซนในการรักษานั้น มีทั้งที่ใช้รักษาทั่วร่างกาย และรักษาเฉพาะจุด เพื่อลดการอักเสบเฉพาะจุด บริเวณข้อต่อต่างๆ ของร่างกาย เช่น ไหล่ติด รวมถึงใช้ในการอบแผลเฉพาะจุดสำหรับผู้ป่วยเบาหวาน หรือผู้ที่มีแผลติดเชื้อบริเวณผิวหนัง
ส่วน Hematogenous Oxidation Therapy หรือ H.O.T เป็นหนึ่งในการทำ Ozone Therapy ที่ช่วยกระตุ้นให้ร่างกายเกิดขบวนการ Oxidation กระตุ้นการทำงานของเม็ดเลือดขาว เม็ดเลือดแดง และเกล็ดเลือด ทำให้ออกซิเจนในเนื้อเยื่อสูงขึ้น เป็นการรักษาโดยการลดความเสี่ยงของการอักเสบในร่างกายที่เกิดจากภาวะความเครียดด้านออกซิเดชั่น หรือ Oxidative Stress โดยภาวะ Oxidative Stress นี้จะนำมาซึ่งความอักเสบเรื้อรังในบริเวณเยื่อบุเซลล์ของหลอดเลือด ทำให้ชั้นกล้ามเนื้อของหลอดเลือดมีความหนาตามหนา ซึ่งอาจส่งผลให้หลอดเลือดตีบ และก่อให้เกิดความเสี่ยงของโรคหลอดเลือดหัวใจได้
การทำ Oxidation Therapy ในผู้ที่เป็นโรคติดเชื้อเรื้อรัง อาทิ ไวรัสตับอักเสบ โรคข้ออักเสบ โรคจากไวรัสคอกแซคกิ (Coxsackie Virus) เชื้อเริม งูสวัส ไข้หวัดใหญ่ วัณโรค ปอดบวม จะช่วยเรื่องการไหลเวียนของเลือดฝอย ช่วยให้การอักเสบลดลง ต่อต้านการติดเชื้อ ระบบภูมิคุ้มกันดีขึ้น และเป็นการดีท็อกซ์ระดับเซลล์
เราสามารถตรวจหาสารพิษในร่างกายได้ โดยการตรวจเลือดที่เรียกว่า Toxic Metals Profile in Bloodซึ่งเป็นโปรแกรมตรวจหาสารพิษโลหะหนักในร่างกาย 9 ชนิด ได้แก่
- Cr - โครเมี่ยม
- Co - โคบอลต์
- Mn - แมงกานิส
- Ni - นิคเกิล
- Hg - ปรอท
- Pb - ตะกั่ว
- Cd - แคดเมี่ยม
- As - สารหนู
- Al - อลูมิเนี่ยม
เป็นการตรวจใช้วิธีการเจาะเลือด โดยไม่ต้องงดน้ำ งดอาหาร ล่วงหน้า และ ทราบผลตรวจได้ภายใน 7-10 วัน
ซึ่งสารพิษที่อยู่ในร่างกายจะส่งผลให้เกิดการอักเสบเรื้อรัง และเกิดความเสื่อมของเซลล์ในระบบต่าง ๆ ของร่างกาย ซึ่งเป็นต้นเหตุของโรคเรื้อรังต่าง ๆ ตามมาได้ แพทย์จะพิจารณาวางแผนการขจัดสารพิษออกจากร่างกายด้วยการทำ “คีเลชั่น” (Chelation Therapy) โดยใช้ตัวยาที่มีคุณสมบัติดูดซับสารพิษและขจัดออกทางปัสสาวะ (Chelating Agent) อาทิ EDTA, DMSA, หรือ DMPS
เมื่อสารพิษโลหะหนักถูกขับออกพร้อมปัสสาวะ จึงช่วยลดการคั่งค้างของสารพิษโลหะหนักในร่างกาย นอกจากนี้ เรายังมีการผสมวิตามินและแร่ธาตุต่าง ๆ มีส่วนช่วยฟื้นฟูสุขภาพ เพื่อปรับสมดุลร่างกายไปพร้อม ๆ กัน ซึ่งการทำคีเลชั่นมีอยู่ 3 รูปแบบ ดังนี้
- แบบการให้น้ำเกลือทางหลอดเลือดดำ
- แบบสอดผ่านการเหน็บทางทวารหนัก
- แบบรับประทานผ่านการกิน
โดยแพทย์จะพิจารณาจากประวัติการตรวจร่างกาย อาการที่แสดง และผลตรวจทางห้องปฏิบัติการเพื่อตรวจสอบประเภทสารพิษก่อนว่าเป็นสารพิษประเภทใด เพื่อใช้ตัวยาในการดูดซับสารพิษให้เหมาะสมกับคนไข้แต่ละบุคคลมากที่สุด
NAD+ คือ นิโคตินาไมค์อะดีนีนไดนิวคลิโอไตด์ เป็นเอนไซม์ที่เกิดขึ้นมาตามธรรมชาติพบอยู่ในเซลล์ ทุกเซลล์ในร่างกาย มีความสำคัญมากต่อการมีชีวิต และเป็นสารสำคัญที่จะช่วยซ่อมแซมอวัยวะของร่างกาย รวมถึงช่วยชะลอความชรา และความเจ็บป่วยด้วยโรคต่าง ๆ เพราะ NAD+ ต้องเข้าไปเกี่ยวข้องกับการทำงาน ของเซลล์มากกว่า 500 อย่าง ถ้าเราขาด NAD+ ชีวิตเราจะอยู่ได้ไม่เกิน 30 วินาที
เปรียบง่าย ๆ กับโทรศัพท์มือถือที่ต้องมีกระแสไฟจากแบตเตอรี่ไปหล่อเลี้ยง ถ้าแบตหมดมือถือก็ทำงาน ไม่ได้ โดยพลังงานของแบตเตอรี่ในเซลล์ได้มาจากการเผาผลาญของสารอาหาร ทั้งคาร์โบไฮเดรต โปรตีน และไขมัน ทำปฏิกริยากับออกซิเจน โดยมี NAD+เป็นตัวจักรสำคัญในขบวนการผลิตพลังงาน
โดยพบว่าคนในช่วงวัยกลางคน ปริมาณของ NAD+ จะลดลงไปถึง 50 %ของระดับความอ่อนเยาว์ และเหลือเพียง 1-10% เมื่ออายุ 80 ซึ่งการลดลงของ NAD+ นั้น จะส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงต่อสุขภาพและความชรา
NAD+ ถือเป็นการรักษาที่ได้รับการพัฒนาล่าสุด ในเรื่องการช่วยส่งเสริมการเกิดใหม่ของเซลล์ มีผลต่อการซ่อมแซมเซลล์ และการเผาผลาญของเซลล์
ประโยชน์ของ NAD+
- ช่วยชะลอความชราของเซลล์ ต่อต้านริ้วรอย ยืดอายุให้นานขึ้น
- ช่วยฟื้นฟูการทำงานของระบบประสาท และความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ
- แก้ไขปัญหาความเหนื่อยล้าและเพิ่มระดับพลังงาน
- แก้ไขข้อบกพร่องในการเผาผลาญที่ส่งผลถึงการเกิดโรคต่าง ๆ อาทิ โรคอ้วน โรคเบาหวาน โรคหัวใจ โรคหลอดเลือด และโรคระบบประสาท
NAD+ ของแอ็บโซลูธ เฮลธ์ จะเป็นสูตรเฉพาะบุคคลจากแพทย์ โดยเป็นการให้ผ่านทางหลอดเลือด เหมือนกับการให้น้ำเกลือ ใช้ระยะเวลา 2-3 ชั่วโมง โดยประมาณ
Pain Management เป็นการรักษาอาการเจ็บปวด โดยใช้เครื่องมือกายภาพบำบัด ร่วมกับการฉีดจุด เพื่อรักษาอาการปวด สามารถรักษาได้ทั้งอาการปวดเรื้อรัง เช่น อาการปวดหลัง ปวดเข่าเรื้อรัง อาการปวดจาก ออฟฟิศซินโดรม ไขข้อกระดูกทับเส้นประสาท รองช้ำ หมอนรองกระดูกอักเสบ เส้นประสาทกดทับ ทำให้เกิด อาการปวด เป็นต้น
รวมถึง อาการปวดแบบเฉียบพลัน ได้แก่ กล้ามเนื้อ เส้นเอ็นอักเสบ เอ็นร้อยหวายอักเสบ อาการบาดเจ็บจากอุบัติเหตุต่าง ๆ อาการบาดเจ็บจากการออกกำลังกาย หรือสาเหตุอื่น ๆ ที่ทำให้เกิดอาการปวดหรือตึง บริเวณกล้ามเนื้อและเส้นประสาท โดยใช้เครื่องมือการรักษาที่ทันสมัย ประกอบด้วย
- เครื่องคลื่นแม่เหล็ก Magnetic Stimulation ช่วยบำบัดลดอาการปวดได้ดีในกลุ่มผู้ที่มีปัญหาจากเส้นประสาท จะช่วยกระตุ้นในเส้นประสาทได้รับการฟื้นฟู เช่น ปวดหรือชา ร้าวลงแขน ขา กลุ่มโรคที่แนะนำคือ ออฟฟิศซินโดรม อาการปวดคอบ่าไหล่ ปวดหลัง
- เครื่อง Shockwave ช่วยลดอาการปวดเรื้อรัง ช่วยให้เคลื่อนไหวได้ดีขึ้น และช่วยกระตุ้นการซ่อมแซมเนื้อเยื่อที่ได้รับบาดเจ็บเรื้อรัง เช่น รองช้ำ อาการปวดตึงกล้ามเนื้อ
- เครื่องเลซอร์กำลังสูง High Power Laser Therapy ช่วยบำบัดอาการปวดและการอักเสบได้ดีในระยะเฉียบพลัน เช่น การบาดเจ็บจากการเล่นกีฬา อาการบาดเจ็บจากการเกิดอุบัติเหตุ
ในการรักษาแต่ละครั้งจะใช้เวลาประมาณ 30 นาที โดยนักกายภาพจะเป็นผู้ประเมินอาการในการรักษา ว่าควรใช้เครื่องมือใดบ้าง จึงจะเหมาะสมกับอาการปวดของคนไข้ ในบางเคสสามารถใช้ได้ทั้ง 3 เครื่องในการ รักษาแต่ละครั้ง ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับอาการของคนไข้เป็นหลัก
Prolotherapy เป็นการฉีดจุด รักษาอาการปวด โดยการฉีดสารสกัดจากธรรมชาติ เข้าไปในบริเวณที่บาดเจ็บ หรือเสื่อมสภาพ เป็นการกระตุ้นให้เกิดการอักเสบเล็กน้อยเพื่อให้เกิดกระบวนการซ่อมแซม เนื้อเยื่อของร่างกายตามธรรมชาติ เพราะโดยปกติเมื่อมีการอักเสบเกิดขึ้นเม็ดเลือดขาวชนิดต่าง ๆ จะวิ่งมายังบริเวณที่มีการอักเสบ และมีการหลั่ง Growth Factor รวมถึง มีการดึงดูดเซลล์ประเภท fibroblast ให้เกิดการ ซ่อมแซมขึ้น และมีการสร้างเนื้อเยื่อใหม่ตามมา ช่วยให้เส้นเอ็นหรือเนื้อเยื่อบริเวณที่ฉีดแข็งแรงขึ้น และหาย จากอาการปวดได้ ซึ่งต่างจากการฉีดยาลดปวดหรือลดอักเสบ ซึ่งเป็นเพียงการรักษาตามอาการเท่านั้น
Prolotherapy เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาเส้นเอ็น กระดูกและข้อ และมีอาการปวดไม่มากนัก อาทิ
- นักกีฬาที่มีอาการบาดเจ็บ
- ผู้ที่มีปัญหาข้อเข่าเสื่อม หมอนรองกระดูกสันหลังเสื่อม กระดูกคอเสื่อม
- ผู้ที่มีอาการปวดข้อศอก ข้อเท้า เอ็นร้อยหวายอักเสบเรื้อรัง เป็นต้น
PRP (Platelet Rich Plasma) Therapy เป็นการฉีดจุด รักษาอาการปวด เพื่อกระตุ้นให้เกิดการซ่อมแซมเนื้อเยื่อตามธรรมชาติ โดยเป็นการฉีดเกล็ดเลือดเข้มข้นของตัวคนไข้เอง ที่นำไปผ่านกระบวนการกระตุ้นให้เกิด Growth Factor แล้วจึงฉีดเข้าไปบริเวณที่มีอาการปวดที่ต้องการฟื้นฟู จึงมีความปลอดภัยสูง เพราะใช้เลือดจากตัวคนไข้เอง
เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการซ่อมแซม ฟื้นฟูร่างกายจากความเสื่อมของกระดูกอวัยวะต่าง ๆ หรือจากการบาดเจ็บของกระดูก เส้นเอ็น ข้อ
รวมถึง ใช้ในการฟื้นฟูผิวหนังที่เสื่อมสภาพลงให้กลับมาแข็งแรง คืนความอ่อนเยาว์ให้กับผิวหน้า ลดเลือนริ้วรอยที่เกิดจากวัย รูขุมขน รอยแผลเป็น หลุมสิว ช่วยทำให้ผิวพรรณกระชับ เต่งตึง และอ่อนเยาว์กว่าวัย
ซึ่ง PRP ของแอ็บโซลูธ เฮลธ์ จะเป็นสูตร PRP4X คือ ใช้กระบวนการสกัดแบบพิเศษสามารถสกัดให้ได้ Growth Factor เข้มข้นมากกว่าปกติถึง 4 เท่า ช่วยซ่อมแซม ฟื้นฟูได้ดียิ่งขึ้นกว่า PRP ปกติทั่วไป
การตรวจคัดกรองมะเร็งระยะศูนย์ คือ การตรวจความเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็งได้ตั้งแต่ระยะก่อนการเกิดโรค หรือ RV Test (Zero Cancer Screening Test) ซึ่งเป็นการตรวจที่ลงลึกไปถึงกลไกทางระบบการเผาผลาญของมะเร็งร่วมกับภูมิต้านทานที่มีความจำเพาะกับมะเร็ง เป็นการตรวจคัดกรองมะเร็งที่ครอบคลุมโรคมะเร็งได้เกือบทุกชนิด
โดยใช้เพียงตัวอย่างเลือด 3 cc ส่งไปตรวจวิเคราะห์โดยผู้เชี่ยวชาญที่ห้องปฏิบัติ การ ประเทศเยอรมัน และทราบผลการตรวจได้ใน 10 – 14 วัน สามารถตรวจคัดกรอง Solid Tumor หรือเนื้องอกได้ตั้งแต่ในระยะเริ่มแรก หรือตั้งแต่ยังไม่ลุกลามไปเป็นเนื้อร้ายหรือเซลล์มะเร็ง โดยจะอาศัยระบบภูมิคุ้ม กันของร่างกายในการระบุความผิดปกติ
ส่วนการตรวจคัดกรองมะเร็งด้วยวิธีพื้นฐาน เช่น การตรวจเลือดเพื่อหาสารบ่งชี้โรคมะเร็ง การตรวจอัลตราซาวด์ หรือการตรวจเอกซเรย์ อาจจะตรวจพบความผิดปกติในระยะเริ่มแรกได้ค่อนข้างยาก เพราะโรคมะเร็งเป็นโรคที่ไม่แสดงอาการใด ๆ ในระยะเริ่มแรก
อย่างไรก็ตาม เราสามารถนำผลการตรวจ Zero Cancer Screening Test นี้ ไปใช้ควบคู่กับการตรวจโดยการเจาะเลือดดูค่าบ่งชี้มะเร็งมาตรฐาน หรือควบคู่กับการตรวจ CT Scan และการทำอัลตราซาวด์ได้ เพื่อให้สามารถตรวจพบการเกิดโรคมะเร็ง หรือกลับมาเป็นซ้ำของมะเร็งได้รวดเร็วขึ้น
ONDAMED เป็นเครื่องที่ให้พลังงานกับเซลล์ โดยอาศัยหลักการที่ว่าทุกเซลล์ในร่างกายของเรา ประกอบ ไปด้วยประจุไฟฟ้า หรือที่เรียกว่า Membrane Potential ซึ่งหากเซลล์ใดมีการอักเสบ บาดเจ็บ หรือมีปัญหา เซลล์นั้น ๆ ก็จะมีพลังที่ตกไปด้วย
ONDAMED เปรียบเหมือนเครื่องชาร์ตแบต ที่จะเติมพลังงานให้กับเซลล์นั้น ๆ เพื่อให้เซลล์กลับมามีพลัง งานเหมือนเดิม และทำหน้าที่ได้ดีตามเดิม
ขั้นตอนในการรักษาด้วย ONDAMED ประกอบไปด้วย 4 ขั้นตอนหลัก ได้แก่
- Scan : เพื่อหาว่าในร่างกายเรามีรูรั่วของพลังงานที่จุดใดบ้าง เพื่อทำการอุดรูรั่วของพลังงานนั้น
- Program Treatment : จับว่าคลื่นของโปรแกรมใดจะช่วยในการซ่อมแซมร่างกายได้บ้างในวันนั้น ๆ ซึ่งมีการออกแบบโปรแกรมมามากถึง 174 โปรแกรม เช่น โปรแกรมสำหรับฮอร์โมนแปรปรวน โปรแกรมสำหรับ การลดความเครียด เป็นต้น ทั้งนี้ โปรแกรมที่ใช้ในการรักษาจะขึ้นอยู่กับคลื่นความถี่ปกติที่เครื่อง ONDAMED ตรวจจับได้
- Microorganism : เป็นการตรวจสอบว่าในร่างกายมีคลื่นความถี่ของเชื้อโรคชนิดใดอยู่บ้าง หลังจากนั้น เครื่องจะทำการจำลองเลียนแบบคลื่นความถี่ของเชื้อโรคที่เป็นอันตรายต่อร่างกายมากที่สุดในขณะนั้น และส่ง กลับคืนให้ร่างกาย เมื่อร่างกายรับรู้ได้ถึงคลื่นที่ส่งมา ร่างกายก็จะเข้าใจว่ามีเชื้อโรคเข้ามา จึงเป็นการกระตุ้นระบบ
ภูมิคุ้มกันของร่างกายให้ออกมาต่อสู้กับเชื้อโรคเหล่านี้มากขึ้น ทั้ง ๆ ที่ในความเป็นจริงแล้ว ไม่ได้มีเชื้อโรคเข้ามา มากขึ้น แต่เป็นเพียงคลื่นความถี่ที่เครื่อง ONDAMED จำลองข้อมูลส่งมาให้
- Nutritional Balance : เป็นการตรวจสอบว่ายังมีสารอาหารใดในร่างกายบ้าง ที่ไม่อยู่ในจุดที่พอดี เครื่องจะกระตุ้นให้ดูดซึมได้ดีขึ้น หรือขับออกได้ดีขึ้นตามความเหมาะสม
ONDAMED จึงเป็นเครื่องมือทางการแพทย์ที่เป็นที่ยอมรับกันอย่างกว้างขวางทั่วโลก ใช้ได้ดีในแทบทุก กลุ่มอาการ หรือใช้เป็นตัวเลือกเพื่อฟื้นฟูสุขภาพ สำหรับคนที่ต้องการจะดูแลสุขภาพให้ดีอยู่เสมอ
การตรวจภูมิแพ้อาหารแฝง Food IgG Test เป็นการตรวจเพื่อวิเคราะห์ว่าร่างกายมีปฏิกิริยาต่ออาหารชนิดใดบ้าง ซึ่งสามารถตรวจการแพ้ในอาหารได้ 216 ชนิด ครอบคลุมอาหารที่รับประทานเป็นประจำ โดยใช้วิธีการเจาะเลือดบริเวณแขนพับ โดยไม่ต้องงดน้ำ งดอาหาร ซึ่งผลการตรวจจะแสดงระดับสีของการแพ้ แบ่งออกเป็น 3 ระดับ ได้แก่
- สีแดง กลุ่มอาหารที่เป็นปัญหา แพ้ระดับรุนแรง ควรงดรับประทานอย่างน้อย 3-6 เดือน
- สีส้ม กลุ่มอาหารที่เป็นปัญหา แพ้ระดับปานกลาง ควรลดปริมาณการรับประทานลง หรือรับประทานเดือนละครั้ง
- สีเหลือง กลุ่มอาหารที่เป็นปัญหา แพ้ระดับต่ำ ควรลดการรับประทานอาหารกลุ่มนี้ลง และหมุนเวียนการรับประทานอาหารกลุ่มนี้อย่างน้อย 3 เดือน
- สีเขียว กลุ่มอาหารที่ไม่พบปัญหา สามารถรับประทานได้โดยไม่มีข้อจำกัด
เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาโรคภูมิแพ้ ภูมิเพี้ยน หรือ ภูมิคุ้มกันทำลายตัวเอง (SLE) ผู้ที่มีปัญหาลำไส้แปรปรวน กรดไหลย้อน ระบบการย่อย การขับถ่ายไม่ดี ท้องอืด ท้องเฟ้อบ่อย ๆ รวมถึง ผู้ที่มีปัญหาโรคเรื้อรังที่มีลำไส้รั่วซึม (Leaky Gut Syndrome) อันเป็นสาเหตุที่เกี่ยวข้องกับโรคต่าง ๆ
ผลการตรวจภูมิแพ้อาหารแฝงจะทำให้ทราบถึงชนิดอาหารที่แพ้ จึงเป็นแนวทางให้สามารถหลีกเลี่ยงอาหารที่แพ้ หรือเลือกรับประทานในปริมาณที่เหมาะสมตามคำแนะนำของแพทย์ และยังเป็นประโยชน์กับการดูแลสุขภาพด้วยตัวเองในระยะยาวได้อีกด้วย
ไฟโบรบลาสต์ (Fibroblast) คือ เซลล์ที่เป็นตัวสร้างโปรตีน คอลลาเจนและอิลาสติน ซึ่งช่วยในการรักษาความชุ่มชื้นให้กับผิวหนัง ช่วยยึดเหนี่ยวให้มีความเเข็งแรงและความยืดหยุ่นกับผิวหนัง เมื่ออายุมากขึ้นตั้งแต่ 25-30 ปี ขึ้นไป ไฟโบรบลาสต์จะค่อย ๆ ลดจำนวนลง ไม่สร้างคอลาเจนและอิลาสตินขึ้นใหม่ แต่ด้วยวิทยา การที่ก้าวหน้า เราจึงสามารถเติมไฟโบรบลาสต์เข้าไปในชั้นผิวหนังได้ เมื่อไฟโบรบลาสต์มีจำนวนมากขึ้น ก็จะสร้างคอลลาเจนและอิลาสตินให้มีมากขึ้นได้ ดังนั้น ความยืดหยุ่น ความกระชับ และความเต่งตึงของผิวหนังก็จะฟื้นขึ้นใหม่ ช่วยให้มีคุณภาพผิวที่ดีและเปล่งปลั่งมากขึ้นจากภายใน
ส่วนการใช้ฟิลเลอร์ คือ การฉีดสารช่วยเติมเต็มหรือปรับแต่งรูปทรงสัดส่วนแต่ละจุดบนใบหน้า เช่น ริ้วรอยใต้ตา ร่องแก้ม โหนกแก้ม ปลายคาง ริ้วรอยบนหน้าผาก ซึ่งเป็นสารเติมเต็มจากภายนอก เพื่อช่วยให้ได้รูปทรงใบหน้าที่สวยงามมากยิ่งขึ้นในเวลาอันรวดเร็ว
เข้าสู่ระบบ
Create New Account