คนส่วนใหญ่มักจะคิดว่า การรักษาโรคภูมิคุ้มกันทำร้ายตัวเอง นั้นต้องอาศัยการทานยาไปตลอดชีวิต ไม่มีทางที่อาการจะดีขึ้นได้ หากขาดยา โดยที่ไม่ทราบว่าแท้จริงแล้วในโลกยุคใหม่นี้ยังมีวิธีการรักษาที่จะทำให้โรคสงบ อาการไม่กำเริบ ไม่จำเป็นต้องทานยาเป็นกำ ๆ และเพิ่มยามากขึ้นเรื่อย ๆ อีกด้วย ซึ่งวิธีการดังกล่าวก็คือ การแพทย์แบบบูรณาการนั่นเอง แต่การแพทย์บูรณาการจะเป็นคำตอบของการรักษาโรคภูมิคุ้มกันทำร้ายตัวเองได้อย่างไร บทความนี้มีคำตอบในเรื่องนี้มาให้ผู้อ่านได้ทำความเข้าใจกัน
เรียนรู้สาเหตุ ทำไมภูมิคุ้มกันถึงกลับมาทำร้ายร่างกายของเราเอง
โรคภูมิคุ้มกันทำลายตนเอง "ภูมิเพี้ยน" หรือ "Autoimmune Disease" เกิดจากการที่ระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย มีความผิดเพี้ยน ไปจากเดิม จากที่ต้องปกป้องร่างกาย ต่อสู้กับเชื้อโรค สารเคมี หรือสิ่งแปลกปลอมที่เข้าสู่ร่างกาย แต่กลับกลายเป็นว่าภูมิคุ้มกันทรยศร่างกาย ไม่ทำหน้าที่นั้น กลับย้อนทำร้ายร่างกาย เพียงเพราะแยกไม่ออกว่าเซลล์ใดคือเชื้อโรค และเซลล์ใดคือเซลล์ปกติของตนเอง ด้วยการสร้างโปรตีนที่เรียกว่า Autoimmune Antibody ก็คือ Antibody ที่ย้อนกลับมาเล่นงานร่างกายของตนเอง
นอกจากสาเหตุดังกล่าวข้างต้น กรรมพันธุ์ นั้นก็ถือเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดโรคนี้ได้เช่นกัน เพราะจากการศึกษาพบว่าสารพันธุกรรมบางชนิดนั้น มีความสำคัญต่อการเกิดโรคภูมิคุ้มกันทำร้ายตัวเอง ซึ่งในคนกลุ่มนี้หากมีพันธุกรรมที่ผิดปกติอยู่แล้วและมีปัจจัยที่ไปกระตุ้นเพิ่มก็อาจจะทำให้โรคแสดงอาการออกมาชัดเจนได้ โดยปัจจัยดังกล่าวก็ประกอบไปด้วยสาเหตุดังนี้
สารพิษสารเคมี เมื่อเราไปสัมผัสกับสารพิษและสารเคมีมากขึ้น ก็ทำให้ภูมิคุ้มกันผิดปกติมากขึ้น
ความเครียด พิษทางอารมณ์ พิษในจิตใจ ล้วนแล้วแต่มีผลทำให้การตอบสนองของเม็ดเลือดขาวผิดปกติ
ความผิดปกติของระบบทางเดินอาหาร ที่เกิดจากระบบทางเดินอาหารเสียสมดุล จากการทานอาหารไม่เป็นเวลา เคี้ยวเร็ว กลืนเร็ว และทานอาหารที่แพ้โดยไม่รู้ตัว ทำให้เกิดปฏิกิริยาการอักเสบ Food intolerance หรือภูมิแพ้อาหารแฝง จนส่งผลต่อสมดุลของระบบการย่อย ทำให้เซลล์เยื่อบุต่าง ๆ ในทางเดินอาหาร เกิดการระคายเคือง และเกิดการอักเสบ ที่เรียกว่า Leaky Gut Syndrome ทำให้ลำไส้เกิดรอยรั่วหรือรอยแผลเล็ก ๆ จนกระทั่งอาหารที่ย่อยไม่สมบูรณ์หลุดลอดเข้าไปกระตุ้นเม็ดเลือดขาวที่มีอยู่มากมายในลำไส้ ระบบไหลเวียนเลือด ตามมาด้วยปัญหาการอักเสบทั่วร่างกาย จนไปกระตุ้นให้เกิดความผิดปกติได้ในที่สุด
ระบบภูมิคุ้มกันทำร้ายตัวเองอย่างไรบ้าง
ภูมิคุ้มกันของบุคคล ๆ นั้นจะทำลายเนื้อเยื่อภายในร่างกายของตัวเอง จนเกิดการอักเสบและทำให้เกิดความผิดปกติกับอวัยวะได้ทั่วร่างกาย โดยถ้า Antibody นี้ไปจับอวัยวะใดก็จะเกิดความผิดปกติที่อวัยวะนั้น เช่น หากไปจับกับไทรอยด์ ก็จะทำให้ไทรอยด์เป็นพิษ และหากเป็นข้อเล็ก ๆ ก็จะทำให้เป็นโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ หากไปจับที่ผิวหนังก็ทำให้เกิดอักเสบของชั้นผิวหนัง และเกิดเป็นโรคสะเก็ดเงิน ไปที่ไตทำให้ไตอักเสบ ไปที่สมองทำให้ ปลอกหุ้มสมอง หรือเส้นประสาทอักเสบ หรือทำร้ายหลายระบบพร้อมกัน ๆ อย่าง โรค SLE หรือโรคพุ่มพวงที่หลายคนคุ้นเคย เป็นต้น
ตรวจให้รู้ชัดว่าเราเสี่ยงต่อการเกิดโรคภูมิคุ้มกันทำร้ายตัวเองหรือไม่
โดยทั่วไปจะตรวจโรคนี้จะอาศัยการซักประวัติของผู้ป่วย ร่วมกับการการตรวจทางห้องปฏิบัติการ เช่น การตรวจเลือด ปัสสาวะ หัวใจ ปอด แต่ในมุมมองของการแพทย์บูรณาการนั้นจะแตกต่างไปอีก โดยการตรวจนั้นก็จะตรวจคัดกรองตามความเสี่ยงพื้นฐาน ซึ่งการคัดกรองนั้นประกอบด้วย
- การประเมินการทำงานของภูมิต้านทาน เพื่อดูสัดส่วนของเม็ดเลือดขาวย่อยว่ามีการเสียสมดุลหรือไม่
- การตรวจ Antibody Profile เพื่อประเมินการทำงานหรือการตอบรับของ ระบบภูมิคุ้มกัน และ ดูแนวโน้มหรือการกระตุ้นของการเกิดความผิดปกติ
- การตรวจหาค่าการต่อต้านอนุมูลอิสระ ได้แก่ การตรวจ MDA เพราะพบว่าสารเคมีบางชนิด เช่น สารปรอทก็มีผลกระตุ้นทำให้ภูมิผิดปกติได้
- การตรวจภูมิแพ้อาหารแฝง Food IgG (Food Intolerance)
- การตรวจอุจจาระที่เรียกว่า CDSA เพื่อดูสมดุลของการย่อยว่ามีการระคายเคืองและการอักเสบ และมีสัญญาณของการเกิดภาวะลำไส้รั่วซึม (Leaky Gut) หรือไม่
- การตรวจ Urine organic Acid Test ซึ่งเป็นการตรวจวิเคราะห์การทำงานของร่างกายอย่างเจาะลึกด้วยการตรวจปัสสาวะ
ภูมิคุ้มกันทำร้ายตัวเองรักษาอย่างไร
โรคภูมิคุ้มกันร้ายตัวเอง เป็นโรคเรื้อรังที่ต้องได้รับการแก้ไขในทันที เพราะถ้าการอักเสบนั้นรุนแรงหรือเกิดความผิดปกติที่อวัยวะสำคัญอาจส่งผลถึงชีวิตได้ สำหรับการรักษาโรคนี้โดยทั่วไปนั้น แพทย์จะให้การรักษาโดยพิจารณาให้ยา เช่น ยาแก้ปวด ยาแก้คัน ยาแก้อักเสบ ที่กดการอักเสบทั่วร่างกาย เช่น ยาสเตียรอยด์ ยากดภูมิต้านทานอื่น ๆ เพื่อที่จะระงับการตอบสนองของการอักเสบที่มากเกินไป ซึ่งผลเสียในระยะยาวของยาเหล่านี้ ก็จะกดภูมิมากเกินไป ทำให้ภูมิตก ติดเชื้อได้ง่าย เกิดผลกระทบกับอวัยวะเช่น ตับ ไต กระดูก และในบางครั้งยาสเตียรอยด์ก็จะ ทำให้เกิดเบาหวานได้ง่าย กระดูกพรุนมากขึ้น เนื้อเยื่อฝ่อและเสื่อมได้เร็วขึ้น
อย่างไรก็ตามหากผู้ป่วยจำเป็นต้องอาศัยการทานยา เพื่อประคองอาการก็จำเป็นต้องก็ต้องทาน เพราะถ้าปล่อยไว้ให้อักเสบต่อไป ก็จะสร้างความทรมานกับคนไข้ แพทย์จึงต้องพิจารณาให้ยาเพื่อควบคุมอาการ และแนะนำคนไข้ให้ดูแลสุขภาพ ไม่ให้ร่างกายเครียดเกินไป เพื่อที่ร่างกายจะฟื้นฟูได้ด้วยตัวเอง
การดูแลโรคภูมิคุ้มกันร้ายตัวเองด้วยการแพทย์แบบบูรณาการ
ในทางการแพทย์แบบบูรณาการแพทย์จะใช้วิธีการศึกษาที่ต้นเหตุแล้วทำการแก้ไขให้ตรงจุด ถ้าคนไข้ยังมีความจำเป็นต้องใช้ยาอยู่ก็ให้ใช้ร่วมด้วย แต่ก็จะใช้ยาให้น้อยที่สุด โดยหันมาใช้ตัวช่วยเพื่อลดการอักเสบแบบที่ไม่ต้องใช้ยาแทน เช่น Omega 3 หรือน้ำมันปลา Boswellia สารสกัดจากไพล Curcumin สารสกัดขมิ้นชัน รวมไปถึงการใช้วิธีการบำบัดอีกหลากหลายวิธี ได้แก่
- การบำบัดโดยกระบวนการ Oxidation Therapy เป็นการบำบัดด้วยโอโซน เพื่อปรับสมดุลภูมิต้านทาน ลดอาการอักเสบในร่างกาย
- การทำวัคซีนปรับภูมิต้านทานเฉพาะบุคคล Allergostop ด้วยเลือดผู้ป่วย โดยการเจาะเลือดและนำแอนติบอดี้มากระตุ้นด้วยเทคโนโลยีเฉพาะให้เป็นวัคซีนและฉีดกลับเข้าร่างกาย
- การดูแลสมดุลลำไส้ โดยการใช้กรดอะมิโนบำบัด เพื่อซ่อมแซมเยื่อบุผนังลำไส้ให้แข็งแรงขึ้น
- การทำ ONDAMED การบำบัดด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าพลังงานต่ำ เพื่อกระตุ้นให้ร่างกายเกิดการซ่อมแซมตัวเอง
- การทำ Quantum treatment โดยใช้คลื่นพลังงานแม่เหล็กไฟฟ้าเข้าไปปรับคลื่นในสมองให้มีความสมดุล ซึ่งเป็นการฟื้นฟูสุขภาพแบบลงลึกถึงต้นเหตุ
ซึ่งนอกจากการลดการอักเสบและแก้อาการอักเสบด้วยวิธีดังกล่าวแล้ว จำเป็นที่คนไข้ต้องมีการรักษาเพิ่มเติมด้วยการปรับไลฟ์สไตล์ และเรื่องของการทานอาหาร เพื่อทำให้ภูมิที่เพี้ยนอยู่นั้นได้รับการปรับสมดุลและมีการตอบสนองต่อร่างกายได้ดี ทั้งนี้ก็รวมไปถึงการดีท็อกซ์สารพิษ การดูแลสมดุลลำไส้ รวมถึงการทำให้ร่างกายตอบสนองต่อปัจจัยกระตุ้นภูมิคุ้มกันต่าง ๆ ให้น้อยลง เพราะหากได้รับการกระตุ้นน้อยลง แอนติบอดี้ที่สร้างขึ้นมาก็จะค่อย ๆ สลายไปเอง เพียงเท่านี้คุณภาพชีวิตของผู้ป่วยก็จะดีขึ้น ภูมิคุ้มกันนั้นก็จะไม่กลับมาทำร้ายร่างกายของเราเอง
เข้าสู่ระบบ
Create New Account