โรคภูมิคุ้มกันทำร้ายตัวเอง เมื่อภูมิคุ้มกันทรยศร่างกาย ผลร้ายคือภูมิเพี้ยน

โทรศัพท์ : 026515988
โรคภูมิคุ้มกันทำร้ายตัวเอง เมื่อภูมิคุ้มกันทรยศร่างกาย ผลร้ายคือภูมิเพี้ยน
นพ.ศิต เธียรฐิติ แพทย์ผู้มีประสบการณ์ด้านการแพทย์บูรณาการ และเวชศาสตร์ชะลอวัย
โรคภูมิคุ้มกันทำร้ายตัวเอง   เมื่อภูมิคุ้มกันทรยศร่างกาย ผลร้ายคือภูมิเพี้ยน

คนส่วนใหญ่มักจะคิดว่า การรักษาโรคภูมิคุ้มกันทำร้ายตัวเอง  นั้นต้องอาศัยการทานยาไปตลอดชีวิต ไม่มีทางที่อาการจะดีขึ้นได้ หากขาดยา โดยที่ไม่ทราบว่าแท้จริงแล้วในโลกยุคใหม่นี้ยังมีวิธีการรักษาที่จะทำให้โรคสงบ อาการไม่กำเริบ ไม่จำเป็นต้องทานยาเป็นกำ ๆ และเพิ่มยามากขึ้นเรื่อย ๆ อีกด้วย  ซึ่งวิธีการดังกล่าวก็คือ การแพทย์แบบบูรณาการนั่นเอง  แต่การแพทย์บูรณาการจะเป็นคำตอบของการรักษาโรคภูมิคุ้มกันทำร้ายตัวเองได้อย่างไร บทความนี้มีคำตอบในเรื่องนี้มาให้ผู้อ่านได้ทำความเข้าใจกัน

เรียนรู้สาเหตุ ทำไมภูมิคุ้มกันถึงกลับมาทำร้ายร่างกายของเราเอง

โรคภูมิคุ้มกันทำลายตนเอง "ภูมิเพี้ยน" หรือ "Autoimmune Disease" เกิดจากการที่ระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย มีความผิดเพี้ยน ไปจากเดิม จากที่ต้องปกป้องร่างกาย ต่อสู้กับเชื้อโรค สารเคมี หรือสิ่งแปลกปลอมที่เข้าสู่ร่างกาย   แต่กลับกลายเป็นว่าภูมิคุ้มกันทรยศร่างกาย  ไม่ทำหน้าที่นั้น  กลับย้อนทำร้ายร่างกาย เพียงเพราะแยกไม่ออกว่าเซลล์ใดคือเชื้อโรค และเซลล์ใดคือเซลล์ปกติของตนเอง ด้วยการสร้างโปรตีนที่เรียกว่า Autoimmune Antibody ก็คือ   Antibody ที่ย้อนกลับมาเล่นงานร่างกายของตนเอง

นอกจากสาเหตุดังกล่าวข้างต้น กรรมพันธุ์ นั้นก็ถือเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดโรคนี้ได้เช่นกัน  เพราะจากการศึกษาพบว่าสารพันธุกรรมบางชนิดนั้น  มีความสำคัญต่อการเกิดโรคภูมิคุ้มกันทำร้ายตัวเอง   ซึ่งในคนกลุ่มนี้หากมีพันธุกรรมที่ผิดปกติอยู่แล้วและมีปัจจัยที่ไปกระตุ้นเพิ่มก็อาจจะทำให้โรคแสดงอาการออกมาชัดเจนได้  โดยปัจจัยดังกล่าวก็ประกอบไปด้วยสาเหตุดังนี้

สารพิษสารเคมี  เมื่อเราไปสัมผัสกับสารพิษและสารเคมีมากขึ้น  ก็ทำให้ภูมิคุ้มกันผิดปกติมากขึ้น

ความเครียด พิษทางอารมณ์ พิษในจิตใจ ล้วนแล้วแต่มีผลทำให้การตอบสนองของเม็ดเลือดขาวผิดปกติ 

ความผิดปกติของระบบทางเดินอาหาร  ที่เกิดจากระบบทางเดินอาหารเสียสมดุล จากการทานอาหารไม่เป็นเวลา เคี้ยวเร็ว กลืนเร็ว และทานอาหารที่แพ้โดยไม่รู้ตัว ทำให้เกิดปฏิกิริยาการอักเสบ Food intolerance  หรือภูมิแพ้อาหารแฝง    จนส่งผลต่อสมดุลของระบบการย่อย    ทำให้เซลล์เยื่อบุต่าง  ๆ  ในทางเดินอาหาร  เกิดการระคายเคือง และเกิดการอักเสบ ที่เรียกว่า Leaky Gut Syndrome  ทำให้ลำไส้เกิดรอยรั่วหรือรอยแผลเล็ก ๆ  จนกระทั่งอาหารที่ย่อยไม่สมบูรณ์หลุดลอดเข้าไปกระตุ้นเม็ดเลือดขาวที่มีอยู่มากมายในลำไส้ ระบบไหลเวียนเลือด ตามมาด้วยปัญหาการอักเสบทั่วร่างกาย  จนไปกระตุ้นให้เกิดความผิดปกติได้ในที่สุด

ระบบภูมิคุ้มกันทำร้ายตัวเองอย่างไรบ้าง

ภูมิคุ้มกันของบุคคล  นั้นจะทำลายเนื้อเยื่อภายในร่างกายของตัวเอง  จนเกิดการอักเสบและทำให้เกิดความผิดปกติกับอวัยวะได้ทั่วร่างกาย   โดยถ้า Antibody  นี้ไปจับอวัยวะใดก็จะเกิดความผิดปกติที่อวัยวะนั้น  เช่น หากไปจับกับไทรอยด์ ก็จะทำให้ไทรอยด์เป็นพิษ  และหากเป็นข้อเล็ก ๆ  ก็จะทำให้เป็นโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์  หากไปจับที่ผิวหนังก็ทำให้เกิดอักเสบของชั้นผิวหนัง และเกิดเป็นโรคสะเก็ดเงิน  ไปที่ไตทำให้ไตอักเสบ ไปที่สมองทำให้ ปลอกหุ้มสมอง หรือเส้นประสาทอักเสบ หรือทำร้ายหลายระบบพร้อมกัน ๆ  อย่าง โรค SLE หรือโรคพุ่มพวงที่หลายคนคุ้นเคย เป็นต้น

ตรวจให้รู้ชัดว่าเราเสี่ยงต่อการเกิดโรคภูมิคุ้มกันทำร้ายตัวเองหรือไม่

โดยทั่วไปจะตรวจโรคนี้จะอาศัยการซักประวัติของผู้ป่วย  ร่วมกับการการตรวจทางห้องปฏิบัติการ เช่น การตรวจเลือด ปัสสาวะ หัวใจ ปอด  แต่ในมุมมองของการแพทย์บูรณาการนั้นจะแตกต่างไปอีก  โดยการตรวจนั้นก็จะตรวจคัดกรองตามความเสี่ยงพื้นฐาน  ซึ่งการคัดกรองนั้นประกอบด้วย 

  • การประเมินการทำงานของภูมิต้านทาน  เพื่อดูสัดส่วนของเม็ดเลือดขาวย่อยว่ามีการเสียสมดุลหรือไม่
  • การตรวจ Antibody Profile  เพื่อประเมินการทำงานหรือการตอบรับของ ระบบภูมิคุ้มกัน และ ดูแนวโน้มหรือการกระตุ้นของการเกิดความผิดปกติ  
  • การตรวจหาค่าการต่อต้านอนุมูลอิสระ ได้แก่ การตรวจ MDA  เพราะพบว่าสารเคมีบางชนิด เช่น  สารปรอทก็มีผลกระตุ้นทำให้ภูมิผิดปกติได้
  • การตรวจภูมิแพ้อาหารแฝง Food IgG  (Food Intolerance)
  • การตรวจอุจจาระที่เรียกว่า CDSA   เพื่อดูสมดุลของการย่อยว่ามีการระคายเคืองและการอักเสบ และมีสัญญาณของการเกิดภาวะลำไส้รั่วซึม (Leaky Gut)  หรือไม่
  • การตรวจ Urine organic Acid Test   ซึ่งเป็นการตรวจวิเคราะห์การทำงานของร่างกายอย่างเจาะลึกด้วยการตรวจปัสสาวะ

ภูมิคุ้มกันทำร้ายตัวเองรักษาอย่างไร

โรคภูมิคุ้มกันร้ายตัวเอง เป็นโรคเรื้อรังที่ต้องได้รับการแก้ไขในทันที เพราะถ้าการอักเสบนั้นรุนแรงหรือเกิดความผิดปกติที่อวัยวะสำคัญอาจส่งผลถึงชีวิตได้ สำหรับการรักษาโรคนี้โดยทั่วไปนั้น แพทย์จะให้การรักษาโดยพิจารณาให้ยา  เช่น  ยาแก้ปวด  ยาแก้คัน  ยาแก้อักเสบ ที่กดการอักเสบทั่วร่างกาย เช่น ยาสเตียรอยด์  ยากดภูมิต้านทานอื่น ๆ เพื่อที่จะระงับการตอบสนองของการอักเสบที่มากเกินไป  ซึ่งผลเสียในระยะยาวของยาเหล่านี้ ก็จะกดภูมิมากเกินไป ทำให้ภูมิตก ติดเชื้อได้ง่าย  เกิดผลกระทบกับอวัยวะเช่น ตับ ไต  กระดูก และในบางครั้งยาสเตียรอยด์ก็จะ ทำให้เกิดเบาหวานได้ง่าย  กระดูกพรุนมากขึ้น เนื้อเยื่อฝ่อและเสื่อมได้เร็วขึ้น

อย่างไรก็ตามหากผู้ป่วยจำเป็นต้องอาศัยการทานยา เพื่อประคองอาการก็จำเป็นต้องก็ต้องทาน เพราะถ้าปล่อยไว้ให้อักเสบต่อไป  ก็จะสร้างความทรมานกับคนไข้   แพทย์จึงต้องพิจารณาให้ยาเพื่อควบคุมอาการ และแนะนำคนไข้ให้ดูแลสุขภาพ ไม่ให้ร่างกายเครียดเกินไป  เพื่อที่ร่างกายจะฟื้นฟูได้ด้วยตัวเอง  

การดูแลโรคภูมิคุ้มกันร้ายตัวเองด้วยการแพทย์แบบบูรณาการ

ในทางการแพทย์แบบบูรณาการแพทย์จะใช้วิธีการศึกษาที่ต้นเหตุแล้วทำการแก้ไขให้ตรงจุด  ถ้าคนไข้ยังมีความจำเป็นต้องใช้ยาอยู่ก็ให้ใช้ร่วมด้วย  แต่ก็จะใช้ยาให้น้อยที่สุด   โดยหันมาใช้ตัวช่วยเพื่อลดการอักเสบแบบที่ไม่ต้องใช้ยาแทน  เช่น Omega 3 หรือน้ำมันปลา Boswellia สารสกัดจากไพล  Curcumin สารสกัดขมิ้นชัน   รวมไปถึงการใช้วิธีการบำบัดอีกหลากหลายวิธี ได้แก่

  • การบำบัดโดยกระบวนการ Oxidation Therapy    เป็นการบำบัดด้วยโอโซน เพื่อปรับสมดุลภูมิต้านทาน ลดอาการอักเสบในร่างกาย  
  • การทำวัคซีนปรับภูมิต้านทานเฉพาะบุคคล Allergostop   ด้วยเลือดผู้ป่วย โดยการเจาะเลือดและนำแอนติบอดี้มากระตุ้นด้วยเทคโนโลยีเฉพาะให้เป็นวัคซีนและฉีดกลับเข้าร่างกาย
  • การดูแลสมดุลลำไส้ โดยการใช้กรดอะมิโนบำบัด เพื่อซ่อมแซมเยื่อบุผนังลำไส้ให้แข็งแรงขึ้น
  • การทำ ONDAMED  การบำบัดด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าพลังงานต่ำ เพื่อกระตุ้นให้ร่างกายเกิดการซ่อมแซมตัวเอง
  • การทำ  Quantum treatment   โดยใช้คลื่นพลังงานแม่เหล็กไฟฟ้าเข้าไปปรับคลื่นในสมองให้มีความสมดุล ซึ่งเป็นการฟื้นฟูสุขภาพแบบลงลึกถึงต้นเหตุ

ซึ่งนอกจากการลดการอักเสบและแก้อาการอักเสบด้วยวิธีดังกล่าวแล้ว จำเป็นที่คนไข้ต้องมีการรักษาเพิ่มเติมด้วยการปรับไลฟ์สไตล์ และเรื่องของการทานอาหาร เพื่อทำให้ภูมิที่เพี้ยนอยู่นั้นได้รับการปรับสมดุลและมีการตอบสนองต่อร่างกายได้ดี ทั้งนี้ก็รวมไปถึงการดีท็อกซ์สารพิษ การดูแลสมดุลลำไส้ รวมถึงการทำให้ร่างกายตอบสนองต่อปัจจัยกระตุ้นภูมิคุ้มกันต่าง ๆ ให้น้อยลง   เพราะหากได้รับการกระตุ้นน้อยลง แอนติบอดี้ที่สร้างขึ้นมาก็จะค่อย ๆ สลายไปเอง เพียงเท่านี้คุณภาพชีวิตของผู้ป่วยก็จะดีขึ้น ภูมิคุ้มกันนั้นก็จะไม่กลับมาทำร้ายร่างกายของเราเอง

SEND A MESSAGE
Your email address will not be published. Required fields are marked.
CALL US : 02 651 5988
Select AH Find Dr Contact Us