รักษาโรคหัวใจ ไม่ได้มีแค่ยาหรือผ่าตัด แต่ยังมีอีกหนึ่งวิธีการหนึ่งที่ยังเสริมฟื้นฟูสุขภาพหัวใจของคุณได้ ซึ่งวิธีการนี้ กำลังได้รับความสนใจและมีผู้คนหันมาใส่ใจดูแลตนเองด้วยวิธีนี้กันมากขึ้น ซึ่งวิธีการรักษาที่ว่านั้นก็คือ การดูแลด้วยการแพทย์แบบบูรณาการ ซึ่งจะมีรายละเอียดที่เราอยากให้คุณได้ เปิดมุมมองใหม่ของการดูแลหัวใจด้วยแนวทาง “การแพทย์แบบบูรณาการ” ที่ผสานวิทยาการแพทย์แผนปัจจุบันเข้ากับโภชนบำบัด การฝังเข็ม การจัดการความเครียด และการฟื้นฟูด้วยธรรมชาติ จากบทความนี้ เพราะการดูแลหัวใจที่ดี เริ่มจากการเข้าใจทั้งร่างกาย จิตใจ และพฤติกรรมของเราอย่างลึกซึ้ง
สาเหตุการเกิดโรคหัวใจ
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา อัตราการเสียชีวิตจากโรคหัวใจมีแนวโน้มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง สิ่งที่น่าวิตกคือผู้ป่วยประมาณ 60-70% จะเสียชีวิตจากภาวะหัวใจหยุดเต้นแบบฉับพลันโดยไม่มีอาการเตือนภัยใดๆ จากการศึกษาวิจัยใหม่ล่าสุดได้เปิดเผยว่าสาเหตุที่แท้จริงนั้นเกิดจากการอักเสบเรื้อรังของเยื่อบุหลอดเลือด โดยมีปัจจัยกระตุ้นที่สำคัญดังนี้
1. ปัจจัยด้านอาหารและเมแทบอลิซึม
- ไขมันทรานส์จากอาหารแปรรูป เช่น ครีมเทียม เนยเทียม และน้ำมันไฮโดรจิเนต
- ไขมันไตรกลีเซอไรด์เกินค่าปกติ
- น้ำตาลในเลือดไม่สมดุล
- สารพิษและอนุมูลอิสระต่างๆ
2. ปัจจัยด้านสรีรวิทยา
- ภาวะเลือดเป็นกรดจากระบบการเผาผลาญผิดปกติ การขาดออกซิเจนในเนื้อเยื่อ (พบในผู้ที่กรนหรือหยุดหายใจขณะนอน)
- ฮอร์โมนเพศไม่สมดุล
- การสะสมของโฮโมซิสเทอีนจากความผิดปกติในการย่อยสลายกรดอะมิโน
3. ปัจจัยด้านวิถีชีวิต
- จุลินทรีย์ในลำไส้ไม่สมดุลและกลุ่มโรคลำไส้รั่ว
- การนอนหลับไม่เพียงพอและความตึงเครียดเรื้อรัง
การเข้าใจปัจจัยเสี่ยงเหล่านี้จะช่วยในการป้องกันและลดความเสี่ยงของโรคหัวใจได้อย่างมีประสิทธิภาพ
กลุ่มเสี่ยงเป็นโรคหัวใจและหลอดเลือด
- วัยกลางคนจนถึงผู้สูงวัย โดยเฉพาะผู้ที่อายุ 40 ปีขึ้นไป ความเสี่ยงก็ยิ่งเพิ่มสูงขึ้น
- ผู้ที่มีประวัติครอบครัวเป็นโรคหัวใจ ซึ่งปัจจัยทางพันธุกรรมที่เพิ่มความเสี่ยง
- กลุ่มเสี่ยงตามโรคประจำตัว เช่น ผู้ป่วยเบาหวาน ผู้ที่มีความดันโลหิตสูง ผู้ที่มีไขมันในเลือดสูง
- ผู้ที่มีน้ำหนักเกิน หรือมีภาวะอ้วน
- ลุ่มเสี่ยงตามพฤติกรรม เช่น ผู้สูบบุหรี่และดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์หนัก ผู้ที่มีความเครียดสูง ไปจนถึงผู้ที่รับประทานอาหารแปรรูปมาก
อาการโรคหลอดเลือดหัวใจ
ผู้ป่วยโรคหลอดเลือดหัวใจ โดยส่วนใหญ่ประมาณ 60-70% จะไม่แสดงอาการเตือนใดๆ และมักเกิดภาวะหัวใจวายเฉียบพลันซึ่งอาจนำไปสู่การเสียชีวิตในทันที อย่างไรก็ตาม ในผู้ป่วยที่มีอาการ มักจะพบลักษณะดังต่อไปนี้
- อาการปวดหน้าอก - ความรู้สึกเจ็บหรือแน่นบริเวณหน้าอกซีกซ้ายหรือตรงกลาง ความเจ็บปวดอาจลุกลามไปถึงบ่า แขนซ้าย หรือคอ โดยลักษณะเป็นความหนักราวกับมีน้ำหนักกดทับ
- ความเหนื่อยล้าผิดปกติ - รู้สึกเพลียง่ายกว่าเดิมในกิจกรรมที่เคยทำได้ปกติ แม้เป็นกิจกรรมเบาๆ
- อาการจากภาวะหัวใจสูบฉีดเลือดได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ - ขาและเท้าบวม หายใจลำบากเมื่อนอนบนเตียง ไอพร้อมเสมหะสีชมพูหรือแดง
การดูแลผู้ป่วยโรคหัวใจที่บ้าน
1. หลักการดูแลพื้นฐาน
การจัดสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการดูแลผู้ป่วยโรคหัวใจที่บ้าน ประกอบด้วย
- จัดพื้นที่พักผ่อนที่เหมาะสม - เลือกห้องที่สงบ อากาศถ่ายเทได้ดี มีแสงสว่างเพียงพอ และอุณหภูมิที่เหมาะสม
- หลีกเลี่ยงปัจจัยกระตุ้นความเครียด - ลดเสียงดัง การรบกวน และสถานการณ์ที่อาจทำให้ผู้ป่วยตื่นเต้นหรือกังวลใจ
- จัดเตรียมยาฉุกเฉิน - วางยาโรคหัวใจไว้ในตำแหน่งที่เข้าถึงได้ง่าย พร้อมคำแนะนำการใช้งานที่ชัดเจน
- มีแผนติดต่อฉุกเฉิน - เตรียมหมายเลขโทรศัพท์แพทย์ โรงพยาบาล และหน่วยกู้ชีพไว้ในที่เห็นได้ง่าย
2. วิธีตรวจเช็กความเสี่ยงด้วยตนเองที่บ้าน
การสังเกตอาการผิดปกติเป็นทักษะสำคัญที่ผู้ป่วยและญาติควรเรียนรู้ อาการที่ควรระวัง ได้แก่ ความเจ็บหรือแน่นที่หน้าอก การหายใจลำบาก ความเหนื่อยล้าผิดปกติ การบวมของขาหรือข้อเท้า และการเวียนศีรษะ
นอกจากนี้ วิธีตรวจโรคหัวใจด้วยตัวเองด้วยเทคนิคการวัดชีพจรและความดันโลหิตที่ถูกต้องเป็นสิ่งที่ควรฝึกฝน การวัดชีพจรสามารถทำได้โดยใช้นิ้วกดที่ข้อมือหรือลำคอ นับจำนวนการเต้นใน 1 นาที และสังเกตความสม่ำเสมอของการเต้น สำหรับการวัดความดันโลหิต ควรทำในท่านั่งหรือนอน หลังจากพักผ่อนอย่างน้อย 5 นาที
สัญญาณเตือนที่ต้องรีบพบแพทย์ ได้แก่ อาการเจ็บหน้าอกที่รุนแรงและไม่หายภายใน 5 นาที การหายใจลำบากมาก การเหงื่อออกผิดปกติ หรือการเป็นลมเฉียบพลัน
วิธีการตรวจวินิจฉัย
สำหรับผู้ป่วยที่มีอาการ เราสามารถวินิจฉัยภาวะหลอดเลือดหัวใจตีบได้จากการประเมินอาการของผู้ป่วยประกอบกับการตรวจทางห้องปฏิบัติการ เช่น
- การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ ทั้งในสภาวะปกติและขณะออกกำลังกาย หรือที่เรียกว่าการเดินสายพาน
- การตรวจเลือดเพื่อดูเอนไซม์หัวใจ (Cardiac Marker)
- การทำเอคโคคาร์ดิโอกราฟี
- การฉีดสีตัวทึบเพื่อดูสภาพการไหลเวียนของหลอดเลือดหัวใจ
อย่างไรก็ตาม เทคนิคการตรวจเหล่านี้จะสามารถตรวจพบปัญหาหรือวินิจฉัยได้เฉพาะในผู้ป่วยที่มีหลอดเลือดตีบตันไปแล้วเท่านั้น สำหรับผู้ที่มีความเสี่ยงแต่ยังไม่มีการตีบตันของหลอดเลือด การตรวจด้วยเทคนิคเหล่านี้อาจไม่สามารถบ่งบอกถึงความเสี่ยงได้
ด้วยความรู้ในปัจจุบันในด้านต้นตอของการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจตีบที่มาจากการอักเสบของผนังหลอดเลือด การตรวจวัดระดับการอักเสบผ่านค่า C-reactive protein (Hs-CRP) ถือเป็นเทคโนโลยีใหม่ในการช่วยประเมินความเสี่ยงของภาวะหลอดเลือดหัวใจตีบ และเพื่อการประเมินความเสี่ยงที่แม่นยำ ควรพิจารณาร่วมกับปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น ระดับน้ำตาลและฮอร์โมนอินซูลิน ระดับ Homocysteine ระดับสมดุลฮอร์โมน ระดับสารพิษต่างๆ ในร่างกาย
วิธีรักษาโรคหัวใจเบื้องต้นตามแบบแผนการแพทย์ทั่วไป
แนวทางการดูแลโรคหัวใจเบื้องต้นทางการแพทย์ที่สำคัญ ประกอบด้วย 3 แนวทางหลัก ซึ่งแพทย์จะเลือกใช้ตามความเหมาะสมของแต่ละผู้ป่วย
1. การใช้ยา
การดูแลด้วยยาเป็นวิธีรักษาโรคหัวใจเบื้องต้นที่แพทย์เลือกใช้ โดยยาจะถูกเลือกตามชนิดและความรุนแรงของโรคหัวใจ การใช้ยาต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด เพื่อควบคุมอาการและป้องกันภาวะแทรกซ้อน
2. การขยายหลอดเลือดหัวใจด้วยบอลลูน (Balloon Angioplasty/PCI)
เป็นหัตถการที่ใช้สายสวนหัวใจที่มีบอลลูนขนาดเล็กเข้าไปขยายหลอดเลือดหัวใจที่ตีบหรืออุดตัน เพื่อให้เลือดไหลเวียนได้ดีขึ้น ในหลายกรณีจะใส่ขดลวด (Stent) เพื่อป้องกันการตีบซ้ำ
วิธีรักษาโรคหัวใจนี้เหมาะกับผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรง หรือหลอดเลือดตีบมากกว่า 70% และถือเป็นทางเลือกที่มีประสิทธิภาพสูงในการฟื้นฟูการไหลเวียนของเลือด
3. การผ่าตัดหัวใจ
ใช้ในกรณีที่อาการรุนแรงหรือไม่ตอบสนองต่อการดูแลด้วยยาและการทำบอลลูน เช่น การผ่าตัดซ่อมหรือเปลี่ยนลิ้นหัวใจ เพื่อแก้ไขปัญหาลิ้นหัวใจที่ผิดปกติ ซึ่งการผ่าตัดหัวใจมีทั้งแบบเปิดและแบบปิด ขึ้นกับชนิดของโรคและข้อบ่งชี้ทางการแพทย์
การดูแลผู้ป่วยหลังทำบอลลูนหัวใจ
หลังจากการทำบอลลูนหัวใจ ผู้ป่วยต้องได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิดในช่วงแรก โดยควรปฏิบัติตามนี้
- รับประทานยาต่อเนื่อง - โดยเฉพาะยาต้านเกล็ดเลือดตามแพทย์สั่ง ห้ามหยุดยาเอง
- ดูแลแผล - หลีกเลี่ยงไม่ให้แผลโดนน้ำในช่วงแรก ป้องกันการติดเชื้อ
- หลีกเลี่ยงกิจกรรมหนัก - งดการออกกำลังกายหนัก การขับรถ และยกของหนักในช่วง 2 สัปดาห์แรก
- ปรับเปลี่ยนอาหาร - หลีกเลี่ยงอาหารที่มีคอเลสเตอรอลสูงและรสหวานจัด เน้นผักผลไม้
- เลิกสูบบุหรี่ถาวร - เพื่อป้องกันการตีบซ้ำของหลอดเลือด
- พักผ่อนเพียงพอ - นอน 8-10 ชั่วโมง พักกลางวันวันละ 2 ครั้ง
- จัดการความเครียด - ปรับวิถีชีวิตให้สมดุล
- พบแพทย์ตามนัด - เพื่อติดตามผลการรักษาอย่างสม่ำเสมอ
การฟื้นฟูสมรรถภาพ
หลังจากทำบอลลูนหัวใจไปประมาณ 2 สัปดาห์ ควรมีโปรแกรมการออกกำลังกายที่เหมาะสม โดยเริ่มต้นจากกิจกรรมเบาๆ เช่น การเดินช้าๆ แล้วค่อยๆ เพิ่มความเข้มข้นตามคำแนะนำของแพทย์ การออกกำลังกายที่สม่ำเสมอจะช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของหัวใจและปรับปรุงการไหลเวียนโลหิต
การปรับเปลี่ยนกิจวัตรประจำวันเป็นสิ่งจำเป็น ควรจัดตารางงานให้มีช่วงพักผ่อนเพียงพอ หลีกเลี่ยงความเครียดที่ไม่จำเป็น และสร้างสมดุลระหว่างการทำงานกับการดูแลสุขภาพ
แนะนำการรักษาเชิงป้องกัน ด้วยการแพทย์แบบบูรณาการ
หนึ่งในวิธีการป้องกันโรคหัวใจและหลอดเลือดที่น่าสนใจ คือ การแก้ปัญหาความเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรคนี้ เช่น การใช้สารอาหารบำบัดซึ่งเป็นต้นเหตุของโรคเบาหวาน การใช้ออกซิเดชันบำบัด (Oxidation Therapy) เพื่อปรับปรุงภูมิต้านทานและลดการอักเสบของหลอดเลือด การใช้คีเลชันบำบัดและสารต้านอนุมูลอิสระ เพื่อขจัดสารพิษและอนุมูลอิสระที่เป็นสาเหตุของการอักเสบผนังหลอดเลือด และล่าสุดเรายังมีวิธีการดูแลด้วยเครื่องมือซึ่งเป็นเทคโนโลยี ECP External Counter Pulsation ซึ่งสามารถช่วยกระตุ้นการไหลเวียนเลือดกลับเข้าสู่หัวใจ เพิ่มออกซิเจนและสารอาหารแก่กล้ามเนื้อหัวใจอย่างเป็นธรรมชาติส่งเสริมการสร้างหลอดเลือดใหม่ ลดอาการเจ็บหน้าอก และช่วยให้หัวใจทำงานได้ดีขึ้นเหมาะสำหรับผู้ป่วยโรคหัวใจที่ไม่สามารถเข้ารับการผ่าตัดหรือทำบอลลูนได้ เพิ่มคุณภาพชีวิตโดยไม่ต้องใช้ยาเพิ่ม
เป้าหมายการรักษารูปแบบนี้ คือ การแก้ไขที่ต้นเหตุ พร้อมกับฟื้นฟูความเสื่อมจากการอักเสบเรื้อรังของผนังหลอดเลือดก่อนที่เกิดการตีบตันที่หลอดเลือดนั่นเอง
การดูแลระบบไหลเวียนโลหิต 10 ข้อ ลดความเสี่ยง
เคล็ดลับการดูแลหัวใจและระบบไหลเวียนโลหิตให้แข็งแรง เพื่อลดความเสี่ยงการเป็นโรคหัวใจและหลอดเลือด รวมถึงความเสี่ยงในการเกิดซ้ำ มีดังนี้
ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
รับประทานอาหารเพื่อหัวใจ
ดื่มน้ำให้เพียงพอ
ควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ
เลิกสูบบุหรี่และหลีกเลี่ยงควันบุหรี่
จำกัดการดื่มแอลกอฮอล์
จัดการความเครียด
นอนหลับให้เพียงพอ
ตรวจสุขภาพเป็นประจำ
หลีกเลี่ยงการนั่งหรือยืนนานเกินไป
เดินเร็ว วิ่งเบาๆ ว่ายน้ำ หรือปั่นจักรยานอย่างน้อย 30 นาทีต่อวัน 5 วันต่อสัปดาห์ เพื่อกระตุ้นการทำงานของหัวใจและเพิ่มการไหลเวียนโลหิต
เน้นผลไม้ ผัก ธัญพืชเต็มเมล็ด ปลา และถั่วต่างๆ หลีกเลี่ยงอาหารมันเยอะ อาหารแปรรูป และเกลือมากเกินไป การเลือกอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูงจะช่วยป้องกันการสะสมของไขมันในหลอดเลือดและลดการอักเสบ
ดื่มน้ำวันละ 8-10 แก้ว เพื่อช่วยให้เลือดไหลเวียนได้ดีและไม่ข้นเหนียว
การมีน้ำหนักเกินจะทำให้หัวใจทำงานหนักขึ้นและเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือด
นิโคตินทำให้หลอดเลือดตีบตัน เพิ่มความดันโลหิต และลดออกซิเจนในเลือด การเลิกสูบบุหรี่เป็นหนึ่งในวิธีที่มีประสิทธิภาพสูงสุดในการปรับปรุงสุขภาพหัวใจและหลอดเลือด
หากดื่มควรดื่มในปริมาณที่เหมาะสมก็ไม่เสี่ยงมาก แต่หากดื่มเป็นประจำและปริมาณมากเกินไปจะส่งผลเสียต่อหัวใจ
ฝึกสมาธิ โยคะ หายใจลึกๆ หรือหากิจกรรมที่ทำให้ผ่อนคลาย เพราะความเครียดเรื้อรังส่งผลเสียต่อระบบหัวใจ
แนะนำให้นอน 7-9 ชั่วโมงต่อคืน เพราะการนอนไม่เพียงพอจะเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและความดันโลหิตสูง การนอนหลับที่มีคุณภาพจะช่วยให้ร่างกายและหัวใจได้พักฟื้นอย่างเต็มที่
ตรวจความดันโลหิต ระดับน้ำตาล และไขมันในเลือดสม่ำเสมอ เพื่อเฝ้าระวังและป้องกันปัญหาก่อนที่จะรุนแรง
เปลี่ยนท่าทางบ่อยๆ เดินเล็กน้อยทุก 30-60 นาที และยกขาขึ้นเป็นครั้งคราวเพื่อช่วยการไหลเวียนโลหิต การดูแลระบบไหลเวียนโลหิตต้องใช้ความสม่ำเสมอและความอดทน แต่จะส่งผลดีต่อสุขภาพโดยรวมในระยะยาว
การบำบัดโรคหัวใจและหลอดเลือดในยุคปัจจุบันต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์ด้านการแพทย์บูรณาการมาอย่างยาวนาน การใช้เครื่องมือและเทคโนโลยีใหม่ๆ ร่วมกับการดูแลแบบองค์รวม และความร่วมมือจากผู้ป่วยและครอบครัวในการปรับเปลี่ยนวิถีชีวิต
หากคุณกำลังมองหาการบำบัดโรคหัวใจและหลอดเลือดแบบบูรณาการ หรือต้องการทำความเข้าใจเรื่องโรคหัวใจและหลอดเลือดคืออะไรเพิ่มเติม Absolute Health Regenerative Medicine ศูนย์การแพทย์บูรณาการชั้นนำที่มีแพทย์มากประสบการณ์พร้อมให้คำแนะนำและดูแลคุณ
FAQs
คำถามพบบ่อยเกี่ยวกับการบำบัดโรคหัวใจและหลอดเลือด ดังนี้
ผู้เข้ารับการบำบัดโรคหัวใจและหลอดเลือด ออกกำลังกายได้ไหม?
การดูแลผู้ป่วยโรคหัวใจที่บ้าน ต้องเตรียมอุปกรณ์อะไรบ้าง?
ลังจากวิธีรักษาโรคหัวใจแล้ว ใช้เวลานานเท่าไหร่กว่าจะหายดี?
ผู้ป่วยโรคหัวใจสามารถออกกำลังกายได้ แต่ควรปรึกษาแพทย์ก่อนเสมอ โดยทั่วไปแพทย์จะแนะนำให้เริ่มจากกิจกรรมเบาๆ เช่น การเดินช้าๆ การยืดเส้นยืดสาย หรือการว่ายน้ำเบาๆ โดยควรใช้เวลา 20-40 นาที สัปดาห์ละ 3-5 ครั้ง หลังจากอาการคงที่แล้ว การออกกำลังกายที่เหมาะสมจะช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อหัวใจ ปรับปรุงการไหลเวียนโลหิต และลดปัจจัยเสี่ยงต่างๆ ที่สำคัญคือต้องหยุดทันทีหากมีอาการเจ็บหน้าอก หายใจลำบาก หรือเวียนศีรษะ
อุปกรณ์ที่จำเป็นสำหรับการดูแลผู้ป่วยโรคหัวใจที่บ้าน ได้แก่ เครื่องวัดความดันโลหิตแบบดิจิตอล เครื่องวัดระดับออกซิเจนในเลือด (Pulse Oximeter) เทอร์โมมิเตอร์ ยาฉุกเฉินที่แพทย์สั่ง (เช่น ยา Nitroglycerin) และสมุดบันทึกอาการ นอกจากนี้ควรมีหมายเลขโทรศัพท์ฉุกเฉินของแพทย์และโรงพยาบาลไว้ในที่เห็นได้ง่าย การมีอุปกรณ์เหล่านี้จะช่วยให้สามารถติดตามอาการและให้การดูแลเบื้องต้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ระยะเวลาการฟื้นฟูหลังการรักษาขึ้นกับความรุนแรงของโรคและวิธีการรักษาโรคหัวใจที่ใช้ หากเป็นการรักษาด้วยยา ผู้ป่วยอาจรู้สึกดีขึ้นภายใน 2-4 สัปดาห์ สำหรับการทำบอลลูนหลอดเลือด การฟื้นฟูใช้เวลาประมาณ 1-2 เดือน ส่วนการผ่าตัดบายพาสอาจใช้เวลา 2-3 เดือนหรือมากกว่า สิ่งสำคัญคือการปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด รับประทานยาสม่ำเสมอ ปรับเปลี่ยนวิถีชีวิต และเข้ารับการตรวจติดตามตามนัด การฟื้นฟูที่สมบูรณ์ต้องอาศัยความอดทนและการดูแลต่อเนื่อง
ดูแลสุขภาพแบบองค์รวมกับ Absolute Health
Absolute Health คือ ศูนย์ดูแลรักษาสุขภาพแบบบูรณาการมาอย่างยาวนานกว่า 20 ปี ที่ผสมผสานการแพทย์แผนปัจจุบันกับการแพทย์ทางเลือกที่ผ่านการศึกษาและมีหลักฐานสนับสนุน เรามีทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์ พร้อมการพัฒนาความรู้อย่างต่อเนื่องด้วยการประชุมแพทย์เพื่ออัปเดทข้อมูลทุกเดือน นอกจากนี้ การรักษาของเราเป็นการรักษาเฉพาะแต่ละบุคคล เพื่อประสิทธิภาพที่ดีที่สุด
Absolute Health เป็นการดูแลแบบองค์รวม ทั้งทางร่างกาย จิตใจ อารมณ์ และวิถีชีวิต ไม่ว่าจะเป็น การแพทย์ชะลอวัย โดยแพทย์ชะลอวัยที่เชี่ยวชาญ โรคอัลไซเมอร์ การเสริมภูมิคุ้มกัน รวมถึงการดูผู้ที่กังวลเรื่องฮอร์โมนตก วัยทอง ไปจนถึงรักษาโรคเบาหวานแบบองค์รวม
ติดต่อเราวันนี้เพื่อรับคำปรึกษาจากทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
Website: https://absolute-health.org/contact
E-mail: [email protected]
Address: Absolute Health: Integrative Medicine 20/2-7 Ruam Rudee Village Soi Ruamrudee, Ploenchit Rd., Lumpini, Pathumwan, Bangkok 10330
เวลาทำการ: จันทร์-อาทิตย์ 9.00 - 18.00
เข้าสู่ระบบ
Create New Account