โรคเกาต์ (Gout) เป็นหนึ่งในโรคข้ออักเสบที่สร้างความทรมานให้กับผู้ป่วยด้วยโรคนี้เป็นจำนวนมาก โดยเป็นโรคที่เกิดความผิดปกติจากภาวะกรดยูริกในเลือดสูง (Hyperuricemia) ที่ถูกสะสมอยู่ในร่างกายเป็นเวลานาน และร่างกายไม่ได้ขับออกทางไต ทำให้กรดยูริกที่ถูกสะสมไว้ตกผลึกอยู่ในรูปแบบของเกลือยูเรตที่เนื้อเยื่อบริเวณข้อ และรอบ ๆ ข้อ ก่อให้เกิดการอักเสบต่อข้อที่มีปัญหา โดยส่งผลให้มีอาการปวด บวม แดง บริเวณอวัยวะนั้นอย่างรุนแรง ซึ่งอวัยวะที่พบว่าเกิดการอักเสบอยู่บ่อยครั้งได้แก่ บริเวณข้อนิ้วโป้งเท้า ข้อนิ้วมือ ข้อเข่า และข้อเท้า โดยอาจนำไปสู่การอักเสบที่บริเวณอวัยวะอื่น ๆ เช่นตามข้อมือ ข้อศอก หรือข้อไหล่ตามมา
โรคเกาต์เกิดขึ้นได้อย่างไร มีสาเหตุมาจากอะไรบ้าง
อย่างที่กล่าวไปข้างต้น ต้นเหตุของการเกิดโรคเกาต์ เกิดจากการสะสมของกรดยูริกที่ไม่สามารถขับออกไปได้อย่างเพียงพอจึงทำให้เกิดการสะสมในข้อต่อ จนกระทั่งร่างกายเกิดการบาดเจ็บ และเกิดการอักเสบภายในผิวข้อ ซึ่งสาเหตุที่เกิดปัญหาเหล่านี้นั้นทางการแพทย์แบบบูรณาการมองว่า เป็นเพราะกรดยูริกนั้นเป็นของเสียที่เกิดจาก การแตกสลายของสารพิวรีนซึ่งเป็นหนึ่งในองค์ประกอบของสารอินทรีย์จากเซลล์ในร่างกายของเรานั่นเอง
ฉะนั้นเมื่อใดก็ตามที่เซลล์ในร่างกายของเราเกิดการอักเสบ หรือการบาดเจ็บ ไปสัมผัสกับความเครียด และปัจจัยกระตุ้นต่าง ๆ เช่น อดนอน พักผ่อนน้อย พบเจอสารเคมีที่ไม่พึงประสงค์เช่น แอลกอฮอล์ บุหรี่ สารโลหะหนักที่ตกค้างจากยาฆ่าแมลง โดยที่สารพิษเหล่านี้ จะก่อตัวเป็นอนุมูลอิสระในร่างกาย ให้เกิดการอักเสบระดับเซลล์จนกระทั่งร่างกายปล่อยกรดยูริกนี้ออกมาสะสมในเลือด
อย่างไรก็ตามนอกจากปัจจัยกระตุ้นที่ไม่พึงประสงค์ดังกล่าวแล้ว อาหารในชีวิตประจำวัน อย่างน้ำตาล ก็ยังมีส่วนที่จะไปกระตุ้นการอักเสบในร่างกายทำให้ปล่อยกรดยูริกออกมาได้เหมือนเช่นปัจจัยกระตุ้นอื่น ๆ ที่กล่าวไปข้างต้นอีกด้วย ดังนั้นนอกจากปัจจัยดังกล่าวนั้นแล้ว น้ำตาลก็เป็นอีกสิ่งที่ต้องระวังเช่นกัน โดยเฉพาะน้ำตาลฟรุกโตสจากผลไม้ ที่มีงานวิจัยกล่าวไว้ว่าสามารถสร้างการอักเสบได้อย่างลงลึกถึงระดับเซลล์
อาการและจุดสังเกตของโรคเกาต์
โรคเกาต์นั้นมีทั้งแบบที่ไม่แสดงอาการและระยะเฉียบพลัน โดยแบบที่ไม่แสดงอาการนั้น ผู้ป่วยจะไม่ทราบว่าตนเองป่วย จนกว่าจะมีอาการปวด บวม แดง ตามข้อ หรือตรวจพบว่ากรดยูริกในเลือดมีปริมาณสูงกว่าที่กำหนด ( ในเพศชายมีระดับกรดยูริกในเลือดสูงกว่า 7 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร ในเพศหญิงมีระดับกรดยูริกในเลือดสูงกว่า 6 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร ) สำหรับอาการของเกาต์ชนิดเฉียบพลันนั้น ผู้ป่วยจะมีอาการที่สังเกตได้คือ มีอาการปวด บวม แดง ที่ข้อต่อขั้นรุนแรง ซึ่งส่วนใหญ่แล้วมักจะเริ่มปวดที่ข้อเท้า นิ้วหัวแม่เท้า ปวดข้อรุนแรง จนกระทั่งเดินไม่ได้ ซึ่งระยะนี้หากได้รับการรักษาที่ถูกต้องก็มีโอกาสที่จะหายได้ แต่หากอาการปวดนั้นอักเสบหรือเรื้อรัง และไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้อง ผู้ป่วยก็เสี่ยงที่จะมีอาการข้ออักเสบ ข้อผิดรูป และถ้ารุนแรงมากอาจส่งผลให้เกิดโรคไต หรือปัญหาไตวายแทรกซ้อนตามมาได้
การตรวจวินิจฉัยและการรักษาโรคเกาต์
ถ้าสงสัยว่าอาการที่เป็นอยู่นั้นคือ ปัญหาของโรคเกาต์หรือไม่ สิ่งที่ควรทำก็คือ ควรไปพบแพทย์เพื่อรับการตรวจ โดยวิธีการตรวจวินิจฉัยนั้น แพทย์จะทำการวินิจฉัยโดยซักถามอาการ หากพบว่าคนไข้มีอาการปวด บวม บริเวณข้อต่อ และผลตรวจเลือดออกมาแล้วพบว่า มีค่าของกรดยูริกในเลือดที่สูงกว่าปกติ ก็สันนิษฐานได้ว่าคนไข้รายนี้น่าจะมีอาการของโรคข้ออักเสบจากเกาต์ได้
สำหรับการรักษาโรคเกาต์ โดยทั่วไปแพทย์จะให้ยาแก้อักเสบเพื่อรักษาตามอาการ เพื่อให้กรดยูริกในเลือดลดลง เพราะเมื่อใดก็ตามที่กรดยูริกลดลงการอักเสบก็จะน้อยลงไปด้วย เมื่อพบว่าอาการอักเสบนั้นลดลงหรือคงที่แล้ว แพทย์จะพิจารณาจ่ายยาในกลุ่มของ Allopurinol ที่มีคุณสมบัติในแง่ของการขับกรดยูริกออกจากร่างกาย เพื่อป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำ และเพิ่มขึ้นของระดับกรดยูริกในร่างกายคนไข้ต่อไป
การรักษาโรคเกาต์ด้วยแนวทางการแพทย์แบบบูรณาการช่วยให้คุณภาพชีวิตคุณดีขึ้นได้อย่างไร
อย่างไรก็ตามสำหรับคนไข้ที่ไม่อยากทานยาเป็นจำนวนมาก หรือต่อเนื่องยาวนาน มักจะเลือกใช้วิธีการทางธรรมชาติบำบัด หรือการแพทย์แบบบูรณาการมาดูแลตัวเองเพื่อทดแทนการทานยา หรือทานยาให้น้อยที่สุด ซึ่งทางการแพทย์แบบบูรณาการให้ความสำคัญกับการดูแลด้วยโภชนเภสัช ด้วยสารอาหารจากธรรมชาติโดยเลือกใช้สารอาหาร ประเภทกรดไขมันจำเป็น เช่น OMEGA 3 ซึ่งพบได้มากในน้ำมันปลา น้ำมันงาขี้มอน น้ำมันมะกอก สารสกัด Curcumin, Boswellia หรือไพรสกัด สารสกัด Astaxanthin จากสาหร่ายสีแดง ซึ่งมีคุณสมบัติช่วยลดและควบคุมการอักเสบมาดูแลผู้ป่วย เพื่อลดการทานยาโดยไม่จำเป็น
ควรทำอย่างไร ถ้าไม่อยากป่วยด้วยโรคเกาต์
แนวทางการแพทย์แบบบูรณาการนั้นให้ความสำคัญกับการแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ ดังนั้นจึงให้ความสำคัญกับปัจจัยของการเกิดโรค หากอยากลดความเสี่ยงปัญหาโรคเกาต์สิ่งที่ต้องทำก็คือ ปรับเปลี่ยนวิถีชีวิต นอนพักผ่อนให้เพียงพอ ออกกำลังกายให้เหมาะสม ดูแลสุขภาพจิตใจ เติมเต็มสารอาหารประเภทโภชนเภสัชที่ดี เช่นอาหารในกลุ่ม Antioxidants หรือสารต้านอนุมูลอิสระ ดีท็อกซ์สารพิษส่วนเกินต่าง ๆ ควบคู่ไปกับการประคับประคองการทำงานของไต ปรับความเป็นกรด ความเป็นด่าง เพื่อให้ไตขับของเสียได้ดีขึ้น ซึ่งแนวทางทั้งหมดนี้ก็คือการดูแลป้องกันการเกิดโรคเกาต์ด้วยการแพทย์แบบบูรณาการ
เข้าสู่ระบบ
Create New Account